*** อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากที่ Photoshop & Lightroom เปิดไฟล์ Raw ของ Canon R ได้อย่างเป็นทางการ พบว่าการดันไฟล์ Raw ขึ้นไปที่ 5 Stops นั้นดีกว่าที่คิดเยอะมากมายมหาศาลแบบที่คนใช้งานมไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจเรื่องไฟล์ของกล้องตัวนี้เลยครับ มันทำได้ดีมาก ***
หลังจากโพสก่อนนู้นเคยรีวิว Canon R ไว้ในส่วนของ Spec ล้วนๆ ว่าเท่าดูแล้วเทียบข้อดีข้อเสียมันเป็นยังไงบ้าง ใครยังไม่ได้อ่านตาม Link ด้านล่างได้เลยครับ
https://www.facebook.com/mrforever.eternity/posts/10155874621836482
คราวนี้เรามาพูดถึงจุดเด่น จุดด้อยในส่วนของการทดสอบใช้งานจริงกันบ้าง หลังจากได้รับโอกาสจากทาง Canon Chiang Mai ให้ทดลองใช้งานกล้องมาก็ทำให้เราได้ทดสอบกล้องในจุดที่เราสงสัย และอยากรู้ว่าถ้าในแง่การใช้งานนั้น ภาพรวมมันเป็นอย่างไร มีจุดเด่น จุดด้อยอะไรนอกจากที่เราเห็นจาก Spec มันบ้าง ก็ลองมาอ่านกันดูครับ ข้อดีและข้อเสียว่ากันไปตรงๆ แบบ User For User นะครับ
อันนี้ไฟล์ R ทั้งหมดที่เอามาใช้ในการรีวิวครั้งนี้นะครับ ใครอยากลองเล่นไฟล์ Raw โหลดจาก Link ด้านล่างเลยครับ เปิดด้วย DPP นะครับ
https://app.box.com/s/r0cs7lnleuaoltf5l2guph69qwz815er
ส่วนใครยังไม่มีโปรแกรม DPP สามารถโหลดได้จาก Link ด้านล่างครับ
จุดเด่นของ Canon R
1. Dynamic Range และการต้มยำทำไฟล์
ตอนคุยเรื่อง Spec ในโพสก่อน เรายังไม่เห็นว่าเนื้อไฟล์ของ R3 มันเป็นยังไง DR ดีหรือเปล่า ขุดได้ดีแค่ไหน ที่ ISO สูงๆ เป็นอย่างไร แถมตอนนั้นไม่มีไฟล์ Raw มาให้ลองด้วย แต่ตอนนี้ได้ลองแล้ว ก็เลยได้ลองเล่นกับไฟล์ที่ถ่ายมาเทส DR บ้างพอสมควร ซึ่งผมว่าผมพอใจกับไฟล์ของ Canon R นะครับ จากคนที่เคยใช้ 5D MKIII แล้วข้ามไปใช้ A7R3 ถามว่าไฟล์สู้ A7R3 ได้มั้ย คำตอบคือยังสู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแพ้น็อคนะ จุดที่แพ้คือในส่วนของการดึง Shadow ซึ่งเป็นจุดอ่อนประจำของหนอนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่คนใช้หนอนก็จะถ่ายให้ติด Over กันไว้ก่อน แต่ไม่ให้หลุด แล้วค่อยดึง Highlight กลับมาก็พอไหวนะ เพราะเซนเซอร์ของหนอนจะเด่นเรื่องการดึง Highlight กลับมากกว่าการขุด Shadow มาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว
สำหรับ Canon R นั้นใช้เซนเซอร์ตัวเดียวกับ 5D MKIV แต่ทาง Canon แจ้งว่ามีการเอาไปปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้ไฟล์ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจากที่ใช้มาผมว่าก็อยู่ในระดับเดียวกันกับไฟล์ DR ที่ได้จาก MKIV ครับ เช่นการขุดเงาทำให้เกิด Noise เม็ดสีขึ้นพอสมควร ซึ่ง DPP ตัวใหม่ก็แก้ไขได้ดีนะ ผมว่าถ้าขุดในระดับ + 3 สต็อปนี่หนอนก็ไม่ได้แย่อะไรเลย ใช้งานได้ดีครับ แต่ถ้าต้องระดับที่สูงกว่านี้ เช่นถ่ายในห้องมืดๆ แล้วข้างนอกแดดจ้าๆ แล้วเราถ่ายโดยวัดแสงให้ด้านนอกพอดี แล้วมาขุดเงาจากด้านในห้องเอา อันนี้ก็จะมีปัญหานิดหน่อย เสียดายวันนี้ที่ลองฟ้าครึ้มมาก แดดไม่จ้ามากจนความต่างมันไม่เยอะอย่างที่อยากเห็น ก็เลยไม่ได้ถ่ายช็อตแบบนั้นมา
ภาพด้านล่างถ่ายที่ ISO 100 นะครับ ขุดเงาขึ้นมา Noise สีไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าถ่ายที่ ISO เกิน 3200 แล้วขุดนี่ Noise สีมาเยอะพอสมควรครับ
อัพเดท เปิดด้วย Camera Raw V.11 เราดันไฟล์ไปที่ 5 Stops ภาพเนี๊ยบไม่มี Noise สีเลย เนียนมาก สรุปได้ว่าถ้าจะขุดไฟล์ระดับเพิ่มความสว่างไปมากถึง 5 Stops ควรถ่ายด้วย ISO ที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้เวลาขุดไฟล์ แล้วไฟล์ไม่เละนะครับ
คราวนี้มาลองขุดไฟล์ที่ ISO 1600 บ้าง ภาพแรกเปิดสุดที่ 3 Stops แล้วไม่ลด Noise เลย จะเห็นว่า Noise สีโหดร้ายมากจริงๆ
ใช้ DPP ลด Noise ดูสักหน่อย แต่ผมว่า DPP ยังลด Noise ได้ไม่ดีเท่า LR นะ จะเห็นว่าเม็ดสีหายไปหมดแล้ว แต่รายละเอียดภาพก็หายไปบ้างนิดนึง
เทียบกับรูปต้นฉบับนะครับ จริงๆ ผมว่าถ้าถ้าขุดประมาณนี้ก็ยังพอรับได้นะ แต่ถ้าเกินสามสต็อปไปนี่จะไม่ค่อยไหวละถ้า ISO ไม่ต่ำจริงๆ
อัพเดทเพิ่มเติมหลังจากที่ PS & LR เปิดไฟล์ Raw Canon R ได้นะครับ จะเห็นว่าเมื่อดันไปที่ 5 stops เราจะเห็นว่าตรงพื้นที่ซึ่งมืดมากๆ ตรงมุมซ้ายล่าง ที่ ISO 1600 เนี่ย จะมีแถบสีเขียวบางๆ จางๆ ปรากฏขึ้นครับ ซึ่งนั่นหมายความว่ายิ่ง ISO สูงเท่าไหร่ และดันความสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีโอกาสเจอแถบสีแบบนี้เกิดขึ้นกับภาพเราได้มากขึ้นเช่นกันครับ ดังนั้นอย่างที่บอกไป ถ้าต้องขุดเยอะๆ ถ่ายให้ ISO ต่ำๆ เข้าไว้จะช่วยได้เยอะครับ
คะแนน : สรุปหลังอัพเดทแล้วเปิดไฟล์ด้วย Camera Raw ได้ จากการทดสอบเปิดที่ +5 Stops ที่ ISO ต่ำๆ ผมให้ 9/10 คะแนนครับ ไฟล์น่าจะพอๆ กับ 5D MKIV หักที่ Noise เม็ดสียังเยอะอยู่ การลดด้วย Software ช่วยได้ก็จริง แต่ก็ทำให้ความละเอียดของภาพหายไปพอสมควร ถ้าในเคสที่แสงต่างมากๆ อาจจะต้องใช้ฟิลเตอร์ครึ่งซีกช่วยเช่นตอนถ่ายช่วงพระอาทิตย์ตกอะไรแบบนั้น ในขณะที่ A7R3 สามารถถ่ายช็อตเดียวจบได้เลย การขุดเงาของ R3 มันไม่มีเม็ดสี ทำให้การทำไฟล์ง่ายขึ้นเยอะ
2. ไฟล์ที่สภาพแสงปกติและการใช้งานร่วมกับเลนส์ต่างๆ
ขอแยกมาจากเรื่องการขุดโหดๆ ทดสอบ DR นะครับ เพราะกล้อง Canon R ผมว่าคงเหมาะสำหรับสายท่องเที่ยว ถ่ายวิวท่องเที่ยว ถ่ายสาว ถ่ายภรรยา และครอบครัวอะไรประมาณนั้นมากกว่า
ถ้าพูดถึงการถ่ายแบบปกติ ผมว่าเนื้อไฟล์ของ Canon R มันสวยกำลังดีเลย โดยเฉพาะถ้าใช้กับเลนส์ RF ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ วันที่เทสได้ลองทดสอบหลักๆ กับเลนส์สี่ตัวครับ คือ RF 24-105 F4L, RF 50 F1.2L, EF 85 F1.4 L IS, EF 200 F2 L IS และเลนส์นอกค่ายอย่าง Sigma 85 F1.4 Art
ซึ่งจากการที่ได้ทดสอบผมมองว่าไฟล์ละมุนดีมาก ลองดูรูปด้านล่างเลยละกันนะครับ ภาพที่ถ่ายได้ จากเลนส์แต่ละตัวเป็นยังไงกันบ้าง
เลนส์ 24-105 F4L IS ไฟล์ Raw ไม่ได้แก้ไขเพิ่ม ไม่เปิดการลด Noise และ Focus ด้วยระบบ Face Detection
เลนส์ Sigma 85 F1.4 ART ไฟล์ Raw ไม่ได้แก้ไขเพิ่ม ไม่เปิดการลด Noise และ Focus ด้วยระบบ Face Detection
เลนส์ Canon EF 85 F1.4 L IS ไฟล์ Raw ไม่ได้แก้ไขเพิ่ม ไม่เปิดการลด Noise และ Focus ด้วยระบบ Face Detection
เลนส์ Canon RF 50 F1.2 L ไฟล์ Raw ไม่ได้แก้ไขเพิ่ม ไม่เปิดการลด Noise และ Focus ด้วย EYE AF
เลนส์ Canon EF 200 F2 L IS ไฟล์ Raw ไม่ได้แก้ไขเพิ่ม ไม่เปิดการลด Noise และ Focus ด้วย EYE AF
ไฟล์ก็ประมาณที่เห็นนะครับ ผมว่าเลนส์ RF ค่อนข้างคมเลยทีเดียว โดยเฉพาะจากเลนส์ RF 50 F1.2 L สมราคากับค่าตัว 85,000 บาทมากๆ ส่วนเลนส์ Kit อดีตคนเมินอย่าง 24-105 F4L IS ก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ความคม ความสะดวก ผมว่าดีกว่าเวอร์ชั่น EF พอสมควรเลย ใครรักสะดวก ผมว่าซื้อชุด Kit แล้วหา Adapter มาต่อใช้งานกับเลนส์ฟิกซ์สักตัว หรือรอ RF 35 F1.8 IS Macro ก็ยังได้
อีกประเด็นที่ต้องพูดตรงนี้คือระบบการ Focus ด้วย Eye AF ของ Canon R ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร อันแรกคือมันจะทำงานถ้าเราเข้าใกล้ตัวแบบมากในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องประมาณถ่ายครึ่งตัวแบบเต็มเฟรม ซึ่งถ้าเราถอยออกมาไกลกว่านั้นระบบ Eye AF จะไม่ทำงาน กล้องจะสลับไปใช้ Face Detection แทน ซึ่งจะมีปัญหาอยู่บ้างถ้าเราเปิด F กว้างๆ ต่ำกว่า F2 ลงไป อีกจุดหนึ่งคือตอนนี้ระบบ Eye AF จะทำงานในระบบ AF-S เท่านั้น ระบบ AF-C หรือที่หนอนเรียกว่า Ai Servo ที่ให้กล้องโฟกัสต่อเนื่องนั้น ระบบ Eye AF ยังไม่ทำงานในระบบนี้ ซึ่งมีการแจ้งจากทาง Canon ว่าจะมีการอัพเดท Firmware ให้สามารถใช้ Eye AF ที่ AF-C ได้ในอนาคต ซึ่งคงดีกว่านี้มาก ส่วนตัวมองว่ายังสู้ระบบ Eye AF ของ Sony ไม่ได้ แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ ในอนาคตน่าจะพัฒนาได้ดีกว่านี้แน่ๆ
อย่างที่ผมแปะไปด้านบน มีสองภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 85 ทั้งจาก Canon และ Sigma ผมขยับถอยมานิดหนึ่งแค่ให้มันไกลมากพอที่ระบบ Eye AF จะไม่ทำงาน กล้องจะใช้ระบบ Face Detection ในการโฟกัสแทน และที่ F1.4 มันก็เป็นไปได้เหมือนกันที่ตาจะไม่ชัดมากอย่างที่ควรจะเป็นครับ ดังนั้นตรงนี้ยังสู้ Sony ไม่ได้ ที่ระบบ Eye AF เกาะติดเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้แบบมากเหมือน Canon
สรุปเรื่องความคมของไฟล์ ผมว่าผ่านฉลุย แล้วมันคมสวยดีด้วย คมแบบละมุนๆ สายถ่ายสาวน่าจะชอบ ที่สำคัญไฟล์ Raw ของหนอนเอาไปทำไฟล์ต่อก็ง่าย เพราะไม่ต้องแก้สีเยอะมาก สีผิวสวยอยู่แล้ว ปรับนิดๆ หน่อยๆ ก็สวยใสสไตล์หนอนได้ไม่ยาก
คะแนน : เรื่องไฟล์หนอนนั้น ถ้าในเรื่อง Portrait ผมว่าชนะค่ายอื่นสบายๆ ถ้าวัดกันที่ไฟล์สำหรับใช้งานทั่วไป ถ่ายวัดแสงพอดีแล้วเอาไปทำต่อ หรือใช้จากไฟล์ Jpeg เลย ผมว่ามันใช้งานได้ทันทีเหมือนกัน หาโหลด Picture Style ที่ชอบมาใส่ซะ แค่นี้ก็ใช้งานไฟล์ Jpeg ได้สบายๆ ละครับ ดังนั้นผมขอให้ 9/10 สำหรับคะแนนในส่วนนี้ จะให้ 10 ก็ยังติดเรื่อง Noise สีมันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เท่านั้นเอง บางทีเราถ่ายในที่แสงน้อย ดัน ISO สูงๆ เกิน 6400 มันก็จะทำไฟล์ยากละ
3. การถ่ายภาพที่ ISO สูงๆ
เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกเรื่องที่หลายๆ คนสนใจ เพราะบ่อยครั้งเราต้องถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยๆ แล้วขี้เกียจพกแฟลช หรือเลนส์หลายๆ ตัว บางคนก็กะว่าจะพก 24-105 F4 L IS แบบตัวเดียวเที่ยวทั่วไทย ซึ่งถ้าอยู่ในช่วงที่แสงน้อย มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ ISO สูงๆ ก็เลยเอาไฟล์มาให้ดูกันว่าที่ ISO สูงๆ เนี่ย ไฟล์มันประมาณไหน ยอมรับกันได้แค่ไหน
ภาพแรกถ่ายที่ ISO 3200 ก็จริง แต่เอาไฟล์ที่ต้องขุดไปที่ +3 Stops ถ่ายด้วยโหมด AF-C หรือที่หนอนเรียกว่า Ai-Servo ช็อตนี้เปิด Face Detection แล้วให้กล้องโฟกัสไปแล้วเราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ครับ โฟกัสเข้าเกือบทุกช็อต มีบางมุมที่ย้อนแสงแรงๆ ก็จะวืดมาก แต่ถ่ายมาสิบรูป เข้าเป๊ะๆ 8 รูปครับ ที่ ISO 3200 นี่ผ่านสบายๆ ลด Noise นิดๆ หน่อยๆ ก็ใช้งานได้ชิลๆ ภาพที่สองซูมไปที่หน้า แล้วให้ดูว่าปิดระบบ Noise reduction เป็น 0 ส่วนภาพที่สามเปิด Noise Reduction ที่ระดับ 4 ซึ่งเอาจริงๆ DPP นี่ยังลด Noise ได้ไม่ดีเท่าไหร่เทียบกับ LR นะผมว่า จากนั้นเอาไฟล์จาก Setting ของภาพที่สาม Export แล้วเอาไปย่อมาแปะอีกที ซึ่งผมถือว่าผ่านมาตรฐานนะ
ขอข้ามไปที่ระดับ ISO 10,000 เลยละกันนะครับ สมัยนี้ 3200 – 6400 นี่ผมว่ามันใช้งานได้สบายๆ อยู่ละ ต้องดูกันที่ระดับ 10,000 เลยดีกว่า ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน เช่นเคยภาพแรกวัดแสงพอดี ปิดระบบ Noise reduction เป็น 0 ส่วนภาพที่สองเปิด Noise Reduction ที่ระดับ 4 ภาพสุดท้ายย่อไฟล์ทั้งหมดมาดูกันว่าภาพรวมรับได้มั้ยที่ระดับ ISO 10000
ปิดท้ายที่ ISO 12800 ครับ เกินกว่านี้ไม่ได้ถ่าย เพราะปกติถ้าเน้นเอาไฟล์ไปใช้งานจริงจังผมจะหยุดที่ 12800 ครับ ทำเหมือนกันกับภาพเซ็ตด้านบนคือ วัดแสงพอดี ภาพแรกปิดระบบ Noise reduction เป็น 0 ส่วนภาพที่สองเปิด Noise Reduction ที่ระดับ 4 ภาพสุดท้ายย่อไฟล์ทั้งหมดมาดูกันว่าภาพรวมรับได้มั้ยที่ระดับ ISO 10000
สรุปว่าถ้าวัดแสงมาพอดีๆ ไม่ต้องขุดเพิ่ม ISO 12,800 ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ยังพอใช้งานได้ครับ ถ้าได้โปรแกรมลบ Noise ดีๆ อย่าง Plugin Noiseware ก็จะช่วยได้อีกเยอะมากๆ อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ขนาด Resolution ที่ 30 ล้าน พอย่อลงมาก็ช่วยได้อีกพอสมควร อย่างทุกวันนี้ผมส่งงานไฟล์ใหญ่งานพิธี งาน Event ต่างๆ ก็จะส่งที่ Resolution 3200 px เพราะส่วนใหญ่ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาไปใช้งานทั่วๆ ไป ซึ่งการมีไฟล์ที่ขนาดใหญ่ๆ มันก็ช่วยได้พอสมควรในการลด Noise เวลาเราย่อไฟล์ลงมา ดังนั้นสำหรับผม ISO 12800 ใช้ได้หากจำเป็นครับ ก็สามารถเซ็ต Max ISO ไว้ที่ 12800 ได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจเลย
คะแนน : ผมให้ 9/10 เลยสำหรับไฟล์ ISO สูงๆ ถือว่าอุ่นใจว่าไปถึงระดับ 12,800 ได้สบาย ยิ่งถ้าถ่ายกันเล่นๆ ก็ดันขึ้นไป 25,600 ได้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรด้วยซ้ำ ดังนั้นใครใช้งาน Canon R ในที่แสงน้อย ผมว่าสบายใจได้เลย กล้องช่วยเราได้เยอะ
4. ขนาดไฟล์
Canon R มาที่ Resolution 30 ล้าน ซึ่งผมว่ามันพอดีมากๆ เลยสำหรับการถ่ายงานทุกรูปแบบ อีกข้อได้เปรียบคือเวลาเราเลือกใช้ Crop Mode ซึ่งกล้องจะ Crop ภาพให้เราเสมือนว่าเราเอาเลนส์สำหรับกล้องตัวคูณมาใส่ ซึ่งของ Canon จะคูณที่ 1.6 ทำให้ที่ Crop Mode กล้องจะครอบให้เราเหลือไฟล์ที่ความละเอียดประมาณ 11-12 ล้าน Pixel ซึ่งถือว่ายังใช้งานได้ดีพอสมควร ไม่ถึงขั้นตึงมือมากหากเราต้องการครอปรูปเพิ่มอีกนิดๆ หน่อยๆ ดังนั้นในบางจังหวะที่เราไม่ทันเปลี่ยนเลนส์ เราสามารถดัน Crop Mode มาถ่ายแล้วให้กล้องครอปแทนเราได้เลยเช่นกัน ซึ่งก็สะดวกดี
อีกข้อดีคือไฟล์ก็ไม่ได้หนักเครื่องมาก เอาไปใช้ถ่ายงาน Event ก็ไม่รู้สึกหนักใจเหมือนเอา A7R3 ไปถ่าย ทุกวันนี้ถ้าถ่ายงานพิธี หรือ Event ปกติทั่วๆ ไป ผมไม่เคยเอา A7R3 ไปถ่ายเลย เว้นแต่งานนั้นสภาพแสงยาก เช่นถ่ายในห้องประชุมที่ปิดไฟ เปิดสไลด์ แล้วเราต้องเก็บทั้งคนพูด ทั้งสไลด์บนจอ อันนั้น DR ของ 5D MKIII สู้ไม่ไหว ก็ต้องเอา A7R3 ไปช่วยถ่ายบ้าง แต่ถ้าเป็นงานที่แสงไม่ยากเกินไป ผมใช้ 5D อย่างเดียว เพราะมันขี้เกียจจัดการกับไฟล์ A7R3 นี่แหละ
เคยบ่นว่าทำไม A7R3 มันไม่ทำ MRaw, SRaw เหมือนหนอนหว่า จะได้เลือกตามลักษณะการใช้งานว่าเราอยากได้ Raw ขนาดไหน จะได้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม แต่กลายเป็นว่าพอหนอนทำ Mirrorless ดันไปตามรอย Sony ซะงั้น คือใส่ Raw, CRaw มาให้ แต่ตัด MRaw, SRaw ออกไปหมด ซึ่งก็ยังถือว่าโชคดีที่ไฟล์ 30 ล้านมันไม่หนักเครื่องมาก ยังถ่ายด้วย CRaw ได้แบบสบายใจอยู่ ผมลองถ่ายที่องค์ประกอบภาพเท่ากัน ถ่ายแบบบีบอัดเหมือนกันทั้งสองกล้อง ไฟล์ A7R3 ได้ขนาดไฟล์ที่ 43.3 MB ส่วน CanonR ได้ขนาดไฟล์ที่ 34 MB ต่างกันประมาณ 25%
ก็ถือว่ายังรับได้ แต่ถ้าหนอนออกกล้องใหม่ที่ Resolution 40 ล้านขึ้นไป แล้วไม่ให้ MRaw, SRaw มาด้วย อันนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ละครับ เพราะไฟล์ใหญ่แล้วต้องใช้ถ่ายในสิ่งที่เกินจำเป็น มันจะกลายเป็นปัญหาในการสำรองไฟล์ Raw ในระยะยาว ตรงนี้จัดการเหนื่อยมาก ก็อยากฝากผู้มีอำนาจในการให้คำแนะนำของทีมงาน Canon Thai ว่าฝากส่ง Feed back ไปให้ทางญี่ปุ่นด้วย ว่าถ้าเป็นไปได้ขอให้นำ MRaw, SRaw กลับมาด้วยเถิดครับ ถ้าอัพผ่าน FW ได้จะยิ่งดีมากๆ ครับ
คะแนน : ไฟล์ 30 ล้านผมว่ามันเป็น Sweet spot เลยทีเดียว เต็มไฟล์ก็ได้ Crop Mode ก็เหลือๆ เสียดายที่ไม่มี MRaw, Sraw มาให้นี่แหละ เพราะแม้ว่า CRaw จะช่วยลดขนาด Raw ลงไปได้บ้าง แต่ถ้ามันสามารถเลือก CRaw แล้วลดไซต์เป็น MRaw, SRaw ได้อีก มันจะทำให้การจัดการกับชีวิตของช่างภาพอาชีพในระยะยาวมันสดใสขึ้นอีกเยอะ ดังนั้นส่วนนี้ผมให้ 8/10 ครับ หักคะแนนที่ไม่มี ขนาดไฟล์ Raw มาให้เลือกนี่แหละ ถ้าในอนาคตปรับได้ผ่าน FW จะกลับมาให้ 10/10 ก็แล้วกันนะ
5. รูปร่างหน้าตาและวัสดุที่ใช้
เรื่องความหล่อของกล้องนี่อยู่ที่คนมองล้วนๆ นะ ผมว่าด้านหน้าเฉยๆ แต่มุมจากด้านบนนี่หล่อมาก วัสดุที่ใช้ก็ดีมาก เป็นแม็กนิเซี่ยมอัลลอยทั้งตัว ทนทานแข็งแรงแน่นอน ในระดับน็อตเมาท์ห้าตัว ใส่กับเลนส์หนักๆ แล้วมั่นใจได้ว่าไม่หักกลางทางแน่ๆ การซีลก็ระดับเดียวกับ 6D ก็ถือว่าไว้ใจได้ระดับหนึ่งเลย แต่พอใส่กับเลนส์ RF นี่ความหล่อตีบวก 10 ไปเลย ยิ่งเป็นเลนส์ RF ที่เป็น L ขอบแดงนี่ยิ่งหล่อ ไอ้ตัว Control Ring นี่มันทำให้กล้องและเลนส์หล่อขึ้นมามหาศาลมาก เรียบหรูดูดีจนรู้สึกว่าถ้าถอย R ควรต้องถอยเลนส์ RF L มาประดับบารมีมันด้วยสักตัว หวังว่าเลนส์ RF 1.4L ที่จะออกมาในอนาคตจะหล่อและดูดีแบบนี้นะ
อีกจุดที่น่าสนใจคือการใช้ม่านชัตเตอร์ช่วยปิดเซนเซอร์เวลาเราปิดกล้องแล้วเปลี่ยนเลนส์ ซึ่งจะทำให้ฝุ่นไม่เข้าไปเกาะติดเซนเซอร์จนเป็นปัญหาตอนถ่ายภาพ หากใครไม่เคยใช้ Mirrorless มาก่อนจะไม่เข้าใจว่าปัญหาฝุ่นติดเซนเซอร์นี่มันน่าปวดหัวมากกว่าสมัยใช้ DSLR เยอะจริงๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบสลับเปลี่ยนเลนส์ไปมาแบบผมนี่เจอปัญหาหนักมาก วันไหนลืมพกที่เป่าลมไปนี่จะขาดความมั่นใจ และต้องเตรียมใจไว้เลยว่าตอนทำไฟล์นี่ต้องลบฝุ่นเพลินแน่ๆ แต่พอมีฟังค์ชั่นนี้มาช่วยก็ทำให้เบาใจไปอีกเยอะเลย แต่ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าในระยะยาวแล้ว การที่ม่านชัตเตอร์เลื่อนลงมาปิดๆ เปิดๆ บ่อยๆ นี่มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง เพราะถ้าม่านชัตเตอร์มันค้างระหว่างถ่ายงานอยู่ คงไม่บันเทิงแน่ๆ
6. การจับถือ
สมัยก่อนกล้อง Mirrorless จะพยายามหาข้อดีเพื่อดึงลูกค้าจาก DSLR ด้วยการชูจุดเด่นเรื่องน้ำหนักเบา กล้องเล็ก พกพาง่าย เพื่อดึงลูกค้าที่ใช้ DSLR อยู่ แล้วไม่อยากแบกกล้องหนักๆ ให้หันมาใช้ Mirrorless กันมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ปัญหาที่ตามมาคือในเคสที่ต้องการใช้เลนส์สว่างๆ ค่า F Stop กว้างๆ สุดท้ายก็จะไปหนักที่เลนส์อยู่ดี เลนส์ 1.4 ของค่ายไหนก็หนักๆ กันทั้งนั้น
ปัญหาที่ตามมาคือด้วย Body กล้องที่พยายามทำให้มันเล็ก ส่งผลให้การจับถือไม่ถนัดเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น Sony A7 ที่จับไม่ถนัดเอาเสียเลย นิ้วก้อยหลุด และถ้าใช้กับเลนส์หนักๆ การจับถือมันจะลำบากและเหนื่อยมากถ้าใช้งานนานๆ เพราะสมดุลในการจับถือมันน้อย เผลอๆ ใช้ไปยาวๆ มันเหนื่อยกว่าการใช้ DSLR ซะอีก เพราะการจับถือของ DSLR นั้นสมดุลมันดีกว่า ทำให้ใช้แล้วไม่เหนื่อยเท่า
แต่สำหรับ Canon R ต้องบอกว่าการจับถือดีมาก อารมณ์กล้อง DSLR ตัวเล็กๆ เลย นิ้วก้อยไม่หลุดแบบเหลือๆ เลย ไม่ใช่ไม่หลุดแต่ต้องบีบนิ้วด้วยนะ จับถือสบาย ใส่กับเลนส์หนักๆ ก็สบายๆ ผมลองใส่กับ Adapter + Sigma 85 1.4 Art แล้ว จับถือถ่ายสบายกว่าตอนใช้ A7R3 เยอะมาก มันทำให้การถ่ายภาพสบายและสนุกขึ้นนะ
คะแนน : การจับถือถ้าเทียบกันกับกล้อง Full Frame Mirrorless ตัวอื่นๆ ในตลาดตอนนี้แล้ว ผมให้คะแนน 10 เต็ม 10 เลย
7. ความเร็วในการโฟกัส
ในที่แสงดีๆ การโฟกัสเร็วแบบไม่ต้องกังวลใดๆ ครับ กดติดๆ เร็วมากๆ และแม้กระทั่งในที่แสงน้อย ผมลองใช้ 50 F1.2 ถ่าย ซึ่งทาง Canon แจ้งว่าจะโฟกัสได้ในระดับ -6EV เลยทีเดียว ประมาณว่าต่อให้ถ่ายในช่วงพระจันทร์เสี้ยวก็โฟกัสได้สบายๆ แต่ถ้าใช้เลนส์ที่ F1.4 หรือต่ำลงมาก็จะโฟกัสได้ที่ -4EV ซึ่งก็เร็วมากแล้ว จริงๆ ถ้า F1.4 สามารถโฟกัสได้ที่ -5 EV จะน่าสนใจกว่านี้นะครับ เพราะคนส่วนใหญ่น่าจะมีเลนส์ F1.4 ใช้กันเยอะกว่า F1.2
อีกจุดที่สำคัญคือกล้องตัวนี้จะเปิดรูรับแสงให้สว่างเต็มที่ก่อนเพื่อโฟกัส ซึ่งทำให้ใช้ประโยชน์จากเลนส์ที่สว่างๆ ได้เต็มที่ ทำให้โฟกัสได้เร็ว จากนั้นค่อยหรี่รูรับแสงตามที่เราเซ็ตค่าไว้เพื่อถ่ายอีกที ซึ่งทุกอย่างเป็นไปในเสี้ยววินาที เร็วมากๆ ลองดูคลิปด้านล่างดู
คะแนน : ความเร็วในการโฟกัส ให้ไปเต็ม 10/10 เช่นกัน น่าจะโฟกัสได้เร็วที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว
8. ระบบการวัดแสงและชดเชยแสง
อันนี้ต้องชมเลยว่ากล้องออกแบบระบบการวัดแสงได้ดีมาก ถ้าเราเซ็ตกล้องไม่ให้ชดเชยแสงใดๆ ทิ้งไว้ที่ค่า 0 แสงจะพอดีไม่ค่อย Under หรือ Over เท่าไหร่ อันนี้ผมทดสอบด้วยการปรับที่โหมด FV หรือ AV และเปิด Auto ISO ด้วยนะครับ เหมือนว่ากล้องมันวัดแสง และพยายามชดเชยแสงให้เราบ้างแล้ว ถ้าเรารู้สึกว่ามันยังไม่พอดี เราก็สามารถปรับที่ Control Ring ของเลนส์ได้เลย ซึ่งสะดวกมาก มันทำให้เราลดภาระเรื่องการทำไฟล์ไปได้เยอะมาก ทำแค่โทนเฉยๆ ส่วนแสงมันจะพอดีหลังจากที่เรากดชัตเตอร์ไปแล้ว เพราะเราชดเชยแสงได้ง่ายมากทั้งจากกล้องที่ช่วยชดเชยแสงให้ และจากการหมุนผ่าน Control Ring ตามรสนิยมส่วนตัว
ใครเอาไปถ่ายงาน Event หรือถ่ายเล่นแบบที่ต้องการใช้ Jpeg หลังกล้องส่งงานหรือต้องการใช้ภาพเร็วๆ เนี่ย รับรองว่าไม่เสียหน้าแน่นอน เพราะถ้าแสงดี สีสวย แค่นี้มันก็จบแล้วจริงๆ เพราะไฟล์ Jpeg หลังกล้องของหนอนไม่เป็นสองรองค่ายใด โดยเฉพาะการถ่ายภาพคน หรือถ้าจะเอาเข้า LR เราแค่ก็อปโทนแล้วแปะยาว แล้ว Export ได้เลย ไม่ต้องไปปรับค่าแสงในแต่ละภาพอีก เพราะเราถ่ายมาพอดีแล้วนั่นเอง มันทำให้ Workflow เร็วมาก
บางคนบอกว่าจะมาตื่นเต้นอะไร พึ่งเห็นไฟแช็คเหรอ อันนี้ผมบอกว่าตอนใช้ A7R3 เนี่ย เราเห็นก็จริงว่าบางทีแสงมันก็ไม่ได้พอดีอย่างที่เราชอบ แต่ด้วยการปรับชดเชยแสงของ R3 มันเป็นการหมุน Dial ซึ่งมันไม่สะดวกเหมือน Control Ring ของ R3 เพราะต้องใช้แรงในการดันวงแหน Dial พอสมควร ทำให้บางทีก็ไม่มีจังหวะหมุน ก็ต้องถ่ายมาก่อน แล้วค่อยมาแก้ในคอมอีกที แต่ของหนอนมันหมุนผ่านเลนส์ได้ง่ายมากจริงๆ คนที่คิดไอเดียนี้เอามาใส่ตรงเลนส์นี่สุดยอดจริงๆ ขอชมเชยฝ่าย R&D มา ณ โอกาสนี้
คะแนน : เป็นอะไรที่เกิดความคาดหมายจริงๆ ประทับใจมาก ให้ 10/10 เลย
9. โหมดการใช้ถ่ายภาพแบบ FV
ส่วนตัวผมชอบถ่ายที่โหมด AV เพราะไม่ชอบคิดเยอะ โดยเฉพาะถ้าถ่าย Outdoor ที่แสงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผมจะปักหลักที่โหมด AV ตลอด แต่พอเห็นหนอนพัฒนาโหมด FV ออกมาก็รู้สึกสนใจมาก เพราะมันเหมือนว่าเราสามารถใช้โหมด P ได้โดยสามารถปรับแต่งค่าอะไรก็ได้ตามใจด้วยความรวดเร็ว การวัดแสงมันจะง่าย และไวกว่าเดิม
อย่างหนึ่งที่ต้องเข้าใจเลยคือหนอนมั่นใจกับโหมด FV มาก ว่าจะถูกใจผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ทำให้กล้าตัดแป้นหมุนโหมดออกไปเลย โดยเปลี่ยนให้เป็นปุ่มกดแทน ซึ่งผมว่ามันก็ดีจริงๆ นะ เพราะในโหมด FV เราจะเลือกปรับค่าไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ปรับเลยให้กล้องคำนวณให้ ก็คือโหมด P ถ้าต้องการปรับแค่รูรับแสง เราก็กดปรับแค่รูรับแสง ที่เหลือกล้องคำนวณให้ ก็คือโหมด AV หรือในบางสถานการณ์ที่แสงน้อย เราต้องการมั่นใจว่า speed จะไม่ต่ำเกินไป เราก็ปรับค่า Speed Shutter แล้วที่เหลือให้กล้องคำนวนให้ มันก็คือโหมด TV หรือถ้าเราอยู่ในห้องประชุมที่แสงไม่เปลี่ยน เราก็ปรับทั้งค่า TV & AV มันก็จะเป็นโหมด M
ฟังแล้วอาจจะยุ่งยาก แต่การใช้งานจริงเราแค่กดปรับที่หน้าจอเท่านั้น ทำให้การใช้งานมันเร็วมาก นี่ขนาดใช้วันแรกยังปรับตัวได้ไวเลย ถ้าเราใช้จนชินมันจะทำให้การถ่ายภาพในสถาพแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั้นเป็นไปได้ง่ายขึ้นอีกมากเลยครับ ลองกด Link ด้านล่างดู จะเห็นได้ว่าเราแช่ที่โหมด FV ได้เลยโดยไม่ต้องหมุนไปโหมดอื่นเลยสำหรับการถ่ายภาพทั่วๆ ไป สะดวกมาก ใช้สักพักจะชินเอง
คะแนน : อันนี้ก็ชอบมากๆ ตั้งแต่เห็นคลิปเปิดตัวโหมดนี้แล้วว่ามันตอบโจทย์ตากล้องอย่างผมมาก เอาไป 10/10 อีกเช่นกัน
10. จอภาพ และระบบ Touch Screen
กล้อง Canon R น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกล้องที่มีจอ Touch screen อันดับหนึ่งในตลาด Mirrorless ตอนนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่จอสัมผัสตอบสนองดีมาก ทำงานได้เต็มระบบ การเลือกเซ็ตค่ากล้องด้วยการจิ้มจอมันสะดวกกว่าการต้องเข้าเมนูและกดผ่านปุ่มมาก ทำให้ในการใช้งานเมื่อชินแล้ว เราจะทำงานกับกล้องได้เร็วมากๆ
ที่สำคัญคือจอหลังสีตรงพอสมควร และสีเหมือนกับจอ EVF เลย ส่องจอ EVF เห็นสียังไง จอหลังก็สีเดียวกัน ไม่เพี้ยน ทำให้มั่นใจได้ว่าภาพที่เห็นในจอตรงกับภาพที่ได้แน่นอน อันนี้ผมว่าดีกว่า R3 อีกนะ เรื่องของความตรงของสี ส่วน A7iii นั้นเราไม่ต้องพูดถึง คนใช้งานคงทราบดีว่ามันน่าปวดหัวแค่ไหน ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกกับ Sped ด้านอื่นที่ดีกว่าของ A7iii
ส่วนการพับจอนั้นดูแล้วออกแบบมาได้ดี แต่ไม่รู้ว่าในระยะยาวจะมีปัญหาเรื่องสายแพรขาดอะไรแบบนี้หรือเปล่า แต่ในภาพรวมแล้วผมว่ามันก็สะดวกดีนะ คิดถึงสมัยใช้ Canon G2 เมื่อปี 2002 ตอนนั้นชอบมากๆ เลยจอพับแบบนี้ แถมอันนี้หมุนมาถ่ายเซลฟี่ได้ด้วย แต่บางคนก็จะมีติอยู่บ้างที่ว่าถ้าเราดึงจอออกมามันจะต้องมองจอจากด้านข้าง แต่สำหรับผมแล้วไม่มีปัญหาใด ถ้าจะห่วงก็เรื่องความทนของการใช้งานมากกว่าซึ่งตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่ามันพังง่ายมั้ย ใช้ทนหรือเปล่า คงต้องรอดูการใช้งานจากผู้ใช้งานจริงอีกสักพักใหญ่ๆ
ส่วนการใช้งาน EVF นั้นผมถือว่าสว่างและสบายตาดีครับ อาจจะมีปัญหาบ้างเวลาแพนตามวัตถุไวๆ นั้น มีแลคบ้างในช่วงท้ายๆ แต่ไม่มาก และไม่มีผลอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ส่วนตัวมองว่ากล้องตัวนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ถ่ายอะไรเร็วๆ อย่างรถแข่งหรืออะไรก็ตามที่เราต้องแพนตามเร็วๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ผมไม่ซีเรียสมาก คิดซะว่ามันเป็นกล้องแนว Slow Life ถ่ายสาว ถ่ายวิวชิลๆ ไม่เร่งร้อนก็แล้วกัน
ส่วนเรื่อง Blackout อันนี้ไม่มีเลย บางคนบอกว่าถ้าไม่มีมันไม่ได้ฟิลว่าถ่ายภาพไปแล้วนะ อันนี้ก็แล้วแต่จะมองนะ ผมมองว่าเราได้ยินเสียงชัตเตอร์เราก็รู้แล้วว่ามันถ่ายแล้ว หรือถ้าปรับไปที่โหมด Silent มันจะมีกรอบขาวๆ โผล่ขึ้นมาให้รู้ว่ากดแล้ว ช่วยทำให้เรามั่นใจได้ว่าได้ภาพแล้วแน่ๆ ไม่ใช่ว่ากดไปงงไป ว่ากดถ่ายรึยัง
การใช้ Touch screen เพื่อเลือกจุดโฟกัส อันนี้ลากตามนิ้วก็โฟกัสตามนิ้วเลย ถ้าแบบเดินไปเดินมา เราลากนิ้วตามได้เลย ถ้าไม่ได้เปิด F1.4 รับรองว่าไม่หลุด เปิดที่ F2 นี่สบายๆ เลยจิ้มเข้าไปที่หน้าแล้วลากตามได้เลย ส่วนการใช้ EVF แล้วใช้นิ้วลากตามเพื่อเลื่อนจุดโฟกัสก็สะดวกมาก อาจจะลำบากสำหรับคนเล็งภาพด้วยตาซ้าย อันนี้ก็แนะนำว่าย้ายมาเล็งถ่ายด้วยตาขวาแทนก็แล้วกันนะครับ มืออาชีพต้องรู้จักปรับตัว ฮ่าๆๆ ที่ดีอีกอย่างคือเวลาถ่ายด้วย EVF จมูกเราไม่ชนจอหลังแฮะ ผมเองก็เป็นคนดั้งโด่งในระดับมาตรฐานนะ ใช้ R3 นี่จมูกชนจอเป็นเรื่องปกติ แต่กับ Canon R มันไม่ชนแฮะ ทำให้จุดโฟกัสจะไม่เลื่อนเองตามจมูก
สรุปการใช้งาน ส่วนตัวแนะนำว่าใช้จอหลังดีกว่า เพราะจะประหยัดแบตกว่านะครับ มองผ่าน EVF จอมันละเอียดกว่า ทำให้เปลืองแบตมากกว่านะครับ ควรใช้เวลาที่ใช้งานกับเลนส์หนัก หรือต้องการถือถ่ายที่ค่า Speed ต่ำ ก็พอแล้ว ที่เหลือใช้จอหลังสบายกว่าเยอะ อย่าไปห่วงว่าตอนถ่ายจะดูไม่โปรเลย กล้อง Mirrorless มันออกแบบให้ใช้งานด้วยจอหลังสะดวกสุดแล้ว รายละเอียดที่เหลือดูคลิปด้านล่างเลยครับ จะเห็นได้ว่า Canon ออกแบบการใช้งานมาได้ดีจริงๆ
คะแนน : ด้วยความที่เป็นจอพับได้แบบหมุนได้ รวมกับ Touch screen เต็มระบบ ลื่นๆ เนียนๆ รูดโฟกัสได้ตามนิ้วเลย แถมยังใช้ Touch to Focus หรือ Touch Shutter ได้สบายๆ ดังนั้นคะแนนเต็มอีกแน่นอน 10/10
11. การใช้งาน Adapter ร่วมกับเลนส์ EF และเลนส์นอกค่ายเมาท์ EF
อันนี้เป็นอีกจุดที่อยากลองมากๆ นั่นก็คือการใช้งานร่วมกับเลนส์นอกค่าย เช่น Sigma ว่ามันจะโฟกัสได้เร็วมั้ยเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้กับ 5D MKIII ที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ ซึ่งจากที่ทดลองใช้มา ทั้งลองกับเลนส์ในค่ายและเลนส์นอกค่าย ผมว่ามันทำงานได้ดีมากๆ แทบไม่แตกต่างเลยว่าใส่หรือไม่ใส่ Adapter
ผมลองใช้กับ Sigma 85 F1.4 Art พบว่ามันโฟกัสเร็วแบบไม่ต่างจากเลนส์ RF 50 F1.2 ที่ใช้เทียบกันเลย เรียกว่าทดสอบโดยการสลับเปลี่ยนถ่ายแบบวัดกันเลย ผมว่ามันเร็วเท่ากันเลย ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ เลนส์ทั้งสองตัวนี้ไม่มี IS ทั้งคู่ ก็จะถ่ายยากกว่าเอามาใส่กับ A7R3 หน่อย เดี๋ยวประเด็นนี้ค่อยว่ากันในส่วนของจุดด้อย แต่ในเรื่องความเร็วในการโฟกัสผ่าน Adapter ผมว่าไม่มีปัญหาใดๆ ให้กังวลใจเลย แสงมากแสงน้อย เร็วเท่ากัน ใช้กับโหมด AiServo ก็ติดหนึบๆ ไม่มีหลุดเลย ถือว่าผ่านฉลุย ใช้ร่วมกับ Mode FV และ Auto ISO แล้วกำหนด Min Speed Shutter ให้พอดี ผมใช้ 1/125 จะได้มั่นใจว่ามันไม่สั่นเพราะ Speed ไม่พอ หรือแบบเคลื่อนไหวเร็วไป
ลองดูภาพด้านล่างนะครับ เปิดด้วย DPP เราสามารถเซ็ตให้มันแสดงได้ว่าเราเลือกโฟกัสตรงไหน จะเห็นได้ว่าตอนให้นางแบบเดินเข้ามาหากล้องนั้น ระบบ AI Servo มัน Track หน้านางแบบได้เกาะติดมากๆ ไม่มีหลุดเลยครับ
ส่วน Adapter แบบที่เป็น ND กับ CPL ยังไม่มีมาให้ลอง แต่คิดว่าดีแน่นอน อันนี้เป็นโบนัสสำหรับคนใช้เลนส์ EF เลย ซื้ออันเดียวจบ ใช้ได้กับเลนส์ทุกตัว คุ้มเกินคุ้ม ที่สำคัญราคาน่ารักคุ้มราคาทุกตัว ถือว่าหนอนไม่ใจร้ายกับคนที่มีเลนส์ EF เดิมเลย ค่ายอื่น Adapter จ่ายกันเป็นหมื่น ของหนอนขายสามพันกว่า จะถูกไปไหน แต่แนะนำว่าซื้อแบบที่มี Control Ring ดีกว่าเยอะครับ ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะจริงๆ
เรื่องราคา Adapter นั้นเปิดตัวมาแล้ว ราคาน่ารักดีครับถ้าเทียบกับ Adapter สำหรับกล้องยี่ห้ออื่น ของหนอนนี่ถูกไปเลย แบบเบสิคอยู่ที่ 3,990 บาท ส่วนแบบมี Control Ring จะอยู่ที่ 7,990 บาท เชียร์ให้ซื้อตัวหลังดีกว่าเยอะครับ
สรุปว่าผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก Canon R ใช้ร่วมกับเลนส์ EF ในค่ายและนอกค่ายผ่าน Adapter ได้อย่างสบายใจครับ ถ้าจะซื้อ Adapter แนะนำว่าลงทุนเอาอันที่มี Control Ring ดีกว่าครับ แม้ว่ามันจะปรับยากกว่าเลนส์ RF ที่หมุนได้จากปลายเลนส์ แต่ถ้าใช้ Adapter เราหมุนจากท้ายเลนส์ จะยากกว่าหน่อยโดยเฉพาะกับเลนส์หนักๆ แต่ผมว่ามันทำให้เราได้ไฟล์ที่แสงพอดีกับจริตเราง่ายขึ้นเยอะ ลองดูคลิปด้านล่างนะครับ จะเห็นว่าขนาดเลนส์ 85 F1.8 ยังโฟกัสผ่าน Adapter ได้เร็วขนาดนี้เลย
คะแนน : มันไม่ต่างกันเลยระหว่างมี Adapter กับไม่มี Adapter รวมถึงกับเลนส์นอกค่ายอย่าง Sigma ก็ยังโฟกัสได้เร็วมาก เสียดายไม่ได้เอา 5D MKIII มาลองด้วย เพราะผมรู้สึกว่ามันโฟกัสได้เร็วกว่า 5D MKIII อย่างรู้สึกได้เลย ซึ่งคงเป็นเพราะ Canon R มันเป็น Dual Pixel AF ทำให้โฟกัสได้ไวกว่า 5D MKIII นั่นเอง ดังนั้นไม่ต้องเดา และไม่ได้อวย คะแนน 10/10 ครับ
12. ภาพรวมในระบบการใช้งานและอนาคตของระบบ Full Frame Mirrorless ของ Canon
ถ้ามองที่ Spec อย่างเดียว เราอาจจะรู้สึกว่ากล้อง Canon R มันยังดูด้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Z6 & A7iii เพราะขาดทั้งกันสั่นในบอดี้ และเป็น 4K Crop ที่มากถึง 1.7 แถมยังใส่การ์ดได้ใบเดียว แบตก็สู้ A7iii ไม่ได้ แถมยังใจร้ายเปิดราคามาแพงจนอึ้งไปตามๆ กัน
แต่ถ้ามองในภาพรวมของการใช้งานแล้ว ผมว่ามันเป็นกล้องที่ใช้ได้สนุก การจับถือควบคุมกล้องทำได้ดี ไฟล์ก็สวยถ้าเราไม่ใจร้ายกับ Dynamic Range ของมันมากเกินไป ถ่ายกันแบบที่เราถ่ายๆ กันมาคือ Over นิดๆ ผมว่าเรื่องไฟล์นี่ไม่ได้มีปัญหามากอย่างที่คิด และการเปิด Shodow ขุดเงาต่างๆ ก็ทำได้ในระดับที่สูสีกับ Canon 5D MKIV ครับ
เมื่อเทียบในข้อดีอื่นๆ แล้วผมมองว่ามันก็พอหักลบกลบหนี้ข้อเสียหลักๆ ที่กล้องมีได้ดีพอสมควร แค่มีจอดีๆ สีตรง Touchscreen เต็มระบบ แค่นี้ผมว่ามันก็ใช้งานได้สนุกมากๆ แล้ว ที่สำคัญชุด Kit ที่มาพร้อมเลนส์ RF 24-105 F4 L IS นี่ถือว่าเป็นเลนส์คุณภาพสูงสมกับที่เป็นเลนส์ขอบแดงอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่เหมือนสมัยเลนส์ EF ที่มักจะถูกมองว่าเป็นพวก L เกรดต่ำ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วครับ มันเป็นเลนส์ที่คมกริบ ใช้งานแบบหวังผลได้เลย
ระหว่างนี้ก็รอพวกเลนส์ฟิกซ์ซีรีย์ F1.8 เหมือนตัว RF 35 F1.8 IS Macro เอามาจับคู่ได้เลย เราจะมีเลนส์สองตัวพร้อมกล้องในน้ำหนักไม่ถึงสองกิโลไว้เที่ยวได้อย่างสบายๆ ถือเป็นกล้องท่องเที่ยวอย่างแท้จริงครับ
ส่วนเลนส์เกรดโปรขั้นเทพอย่าง RF 28-70 F2L หรือ RF 50 F1.2L นั้น คงมีน้อยคนจะซื้อมาใช้ ถือว่าเป็นเลนส์ที่ผลิตมาโชว์ศักยภาพของระบบเมาท์ใหม่เลนส์ใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งคุณภาพของมันนั้นก็สุดจริงๆ แต่สำหรับผมคงรอซีรีย์ 1.8 ดีกว่า เพราะเบา และดูแล้วไฟล์น่าจะคมใช้งานได้สบายๆ แน่นอน และผมเชื่อว่า Canon คงเตรียมออกเลนส์ RF มาให้เราใช้กันเพิ่มเติมอีกมากมายพอสมควร และน่าจะใช้เวลาไม่นานนักในการเติมเลนส์ที่ขาดหายไป เช่นพวก Zoom F2.8, F4 ทั้งหลาย รวมถึงเลนส์ฟิกซ์ F1.4, F1.8 ด้วยเช่นกัน เพราะผมมองว่าอนาคตของระบบ Full Frame Mirrorless มันต้องสดใสกว่าระบบเดิมอย่าง DSLR พอสมควร ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนามาทาง Mirrorless ได้ง่ายกว่า ทำให้ในอนาคตเราน่าจะได้เห็นความจริงจังของ Canon ในตลาด Mirrorless เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนครับ
สำหรับจุดเด่นของ Canon R ก็ประมาณนี้ครับ ในภาพรวมผมว่ามันเป็นกล้องที่ใช้งานได้สนุกมากๆ ตัวหนึ่งเลย มีจุดเด่นที่ดีที่ทำให้เราถ่ายภาพได้ง่าย และสนุกขึ้น ช่วยทำให้ Workflow ของเราดีขึ้น ทำงานเสร็จได้ไวขึ้น ใช้งานร่วมกับเลนส์เก่าๆ ก็ไม่มีปัญหา ก็ถือว่าเป็นกล้อง Gen 1 ของหนอนที่ออกแบบมาได้ดีมากจริงๆ แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าข้อเสียยังเยอะไป และกระทบกับการใช้งานของเรา ก็แนะนำว่าให้รอ หรือไม่ก็ไปสอยตัวที่เราคิดว่าเหมาะกับเรามาแทนครับ
จุดด้อยของ Canon R
1. ไม่มีกันสั่นในบอดี้
อันนี้สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เลย เพราะเลนส์ผมหลายๆ ตัวก็ไม่ได้มีกันสั่น และน้ำหนักก็เอาเรื่องเหมือนกัน การไม่มีกันสั่นในบอดี้ ทำให้การใช้งานยากขึ้นครับ จากที่ทดลองใช้งาน Sigma 85 F1.4 Art บน Canon R เทียบกับ A7Riii แล้ว ผมยังรู้สึกว่าสบายใจและมั่นใจที่จะใช้กับ A7Riii มากกว่า รวมไปถึงเลนส์อย่าง EF 135 F2L ด้วย ที่พอมีกันสั่นในบอดี้แล้วมันทำให้เราถ่ายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
แต่ถ้าใครมีเลนส์ IS อยู่แล้ว ตรงนี้อาจจะไม่มีปัญหามาก ก็พิจารณากันดีๆ ครับ ว่ากันสั่นในบอดี้นั้นมันสำคัญกับเราหรือเปล่า
2. ระบบวีดีโอที่ด้อยกว่าคู่แข่ง
ประเด็นนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสพอสมควร สำหรับคนที่คิดจะซื้อ Canon R มาเพื่อใช้ในงานถ่ายภาพเคลื่อนไหวเป็นหลัก นั่นเพราะ Canon R มีจุดด้อยด้านนี้ชัดเจนมากๆ อีกทั้งในการใช้งานจริง การใช้งานสลับกันระหว่างภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนั้น ก็ค่อนข้างไม่สะดวกเท่าไหร่ ต้องเข้าไปกดผ่านเมนู เสียเวลาพอสมควร
ดังนั้นแนะนำว่าถ้าจะเอามาถ่ายงานภาพเคลื่อนไหวเป็นหลัก มองหาตัวอื่นได้เลยครับ ตัวนี้ยังมีจุดด้อยมากมายอย่างที่เคยบอกไปในโพสที่แล้ว และยังห่างจากคู่แข่งทั้ง A7iii และ Z6 มากพอควร
3. การถ่ายภาพรัว
หากคุณต้องการใช้งานกล้อง Canon R เพื่อถ่ายสิ่งของที่เคลื่อนไหวเร็วๆ อย่างรถแข่ง หรืออะไรก็ตามที่ต้องเน้นการถ่ายรัวเป็นหลัก ก็ต้องบอกว่า Canon R คงไม่เหมาะสำหรับคุณ การถ่ายไปด้วยวัดแสงไปด้วยโฟกัสไปด้วย จะทำให้การรัวเหลือแค่ 3 Frame / sec เท่านั้น
4. ช่องเสียบการ์ดมีแค่ช่องเดียว
ปกติการใช้งานของผมก็จะเซ็ตให้การ์ดที่เร็วที่สุดบันทึกไฟล์ Raw แล้วการ์ดอีกช่องบันทึกไฟล์ Jpeg ซึ่งถ้าเกิดความผิดพลาดใด ๆ ขึ้นกับการ์ดใดการ์ดหนึ่ง อย่างน้อยเราก็ยังเหลือไฟล์ให้ใช้งานอยู่บ้าง สำหรับบางงานที่สำคัญมากๆ ก็จะบันทึกเฉพาะ Raw อย่างเดียว โดยให้บันทึกเหมือนกันลงทั้งสองไฟล์ ซึ่งจะปลอดภัยมากหากว่าการ์ดเสียขึ้นมา ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับว่าสำหรับ SD Card แล้ว มันมีความเสี่ยงสูงพอสมควรที่การ์ดจะพังได้ เช่นบางทีถ่ายงานแล้วต้องรีบเปลี่ยนสลับการ์ดไวๆ บางทีก็ไม่มีจังหวะเก็บการ์ดในกล่อง เผลอเอาใส่กระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋ากางเกง แล้วเคราะห์หามยามซวย การ์ดพังขึ้นมาก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน เพราะลักษณะทางกายภาพของการ์ดเองมันก็ไม่ได้แข็งแรงมากนัก
จากประสบการณ์แล้ว การมีสองช่องไว้อุ่นใจกว่า หรือบางทีเราจะถ่าย Timelapse แบบ Day to Night ข้ามวันข้ามคืน การมีการ์ดแค่ใบเดียวบางทีมันก็ไม่พอ และทำให้เรามีข้อจำกัดในการถ่ายภาพได้เช่นกัน ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบครับ ว่าสำหรับการใช้งานของเราแล้ว การ์ดช่องที่สองจำเป็นไหม สำหรับผมเห็นว่าจำเป็นก็รอรุ่นต่อไปครับ
5. แบตเตอรี่
อันนี้อาจจะไม่ได้ซีเรียสมากนัก เพราะถึงแม้ว่าค่าการทดสอบจาก CIPA จะบอกว่าแบตของ Canon R นั้นถ่ายได้แค่สามร้อยกว่ารูปก็ตามที แต่นั่นเป็นการทดสอบที่ Worst case ในสภาพที่โหดที่สุดครับ แต่สำหรับการใช้งานจริงแล้ว ผมว่าก็คงถ่ายได้ 800 – 1000 รูปนะแหละ เพราะหนอนมีโหมตประหยัดพลังงานให้เปิดช่วยด้วย มีแบตสองก้อนก็น่าจะถ่ายทั้งวันได้สบายๆ ครับ
แต่ปัญหาที่เจอก็คือเรื่องการใช้ Powerbank มาช่วยชาร์ตระหว่างวัน หรือให้เป็นพลังงานหลักแทนแบตเตอรี่ เหมือนกับที่ A7Riii ทำได้ ปรากฏว่าของ Canon R เราต้องใช้ Powerbank จาก Canon โดยเฉพาะครับ ไม่สามารถใช้ Powerbank ยี่ห้ออื่นๆ ได้ ตรงนี้ทำให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานหายไปเยอะพอสมควร อย่างผมมี Powerbank เพียบเลย แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ต้องซื้อเพิ่มอีก แบบนี้ซื้อแบตเพิ่มน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ดังนั้นในเรื่องของแบต ผมยังมองว่า Canon R ยังออกแบบระบบจัดการกับแบตเตอรี่ได้ไม่ดีเท่า Sony ซึ่งผ่านกระบวนการคิดมานานและก้าวผ่านปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ไปแล้วอย่างสมบูรณ์
6. ราคา
เปิดราคาล่าสุดมาเมื่อวาน ทำเอาคนที่วางแผนว่าจะซื้อต้องชะงักกันไปหลายคน แม้ว่าจะมีโปรส่งเสริมการขายออกมาแล้วลดราคา และแถม Adapter ให้ก็ตามที แต่ดูแล้วราคามันแพงกว่าที่ทุกคนคาดคิดไปหลายพัน มันก็ต้องชะงักกันนิดนึง ไม่รู้ว่าหนอนจะยังใช้วัฒนธรรมเดิมกับเรื่องราคาหรือเปล่า ที่ราคาศูนย์มักจะแพงกว่าราคาขายจริงผ่าน Dealer เสมอ ซึ่งก็ขอให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เดี๋ยวเรื่องนี้คงได้ยินกันเองว่าราคาหน้าร้านขายกล้องจริงๆ จะราคาเท่าไหร่
แต่ถ้าราคาหน้าร้านกับราคาเปิดตัวของศูนย์คือราคาเดียวกัน ผมก็คงต้องมองว่าหนอนไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากเคสการตั้งราคาของ 6D MKII เลยหรืออย่างไร ที่เปิดราคาออกมาสูงแล้วค่อยๆ ลดทีหลัง มันทำให้คนที่คิดว่าจะซื้อรู้สึกว่ารอก่อนดีกว่าให้ราคาปรับลงอีกสักนิดค่อยซื้อ ส่วนคนที่ซื้อก่อนก็เสียความรู้สึกกันไป
อันนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร บางทีทางฝ่ายการตลาดเขาอาจจะมีข้อมูลการขายที่เราไม่รู้มาก่อน มาเป็นเหตุผลหลักให้ประกาศราคาแบบนี้ก็ได้ ก็ต้องดูกันไปว่ายอดขายจะเป็นอย่างไรเมื่อราคาเปิดตัวมันสูงขนาดนี้
ส่วนใครที่ตัดสินใจไปแล้วว่าจะซื้อ Canon R ผมแนะนำว่าให้รีบซื้อภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2018 นะครับ เพราะมีสิทธิ์ส่วนลดเพิ่มเข้ามาทำให้ราคากล้องลดลงพอสมควร สิทธิ์ที่ว่าคืออะไรบ้าง
- แถม Adapter ตัวเบสิคที่มีราคา 3,990 ให้ฟรีหนึ่งตัว
- มีส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับ Eos R ให้ 5,000 บาท
- ถ้าซื้อชุด Kit จะลดราคาให้เป็นพิเศษอีก 4,400 บาท
สิทธิ์พิเศษนี้ก็จะทำให้เรามีสามทางเลือกครับ
- ซื้อเฉพาะบอดี้ แล้วเอาส่วนลด 5,000 บาทไปใช้ซื้อ 24-105 F4L IS จะทำให้ราคาเหลือเพียงแค่ = 82,900 + 39,790 – 5,000 – 3,990 = 113,700 บาท นั่นหมายความว่าเราจะได้ Body Canon R ที่ราคา = 82,900 – 5000 – 3990 = 73,910 บาท เท่านั้นเองครับ
- ซื้อชุดคิต แล้วเอาส่วนลดไปจองซื้ออุปกรณ์ตัวอื่นล่วงหน้า จะทำให้ราคาเหลือ = 122,900 – 4,400 – 3,990 = 114,510 บาท แพงกว่าด้านบนไป 810 บาท แต่เราจะมีบัตรส่วนลด 5,000 บาทไว้สำหรับซื้อสินค้าชิ้นอื่น ถ้าเขาให้เราจองซื้อล่วงหน้าได้นะ เช่นเลนส์ RF ตัวอื่นๆ ที่จะออกมาในเดือน พย. หรือเดือน ธค. สำหรับทางเลือกที่สอง เราจะได้ Body ที่ราคา = 122,900 – 39,790 – 4,400 – 3,990 = 74,720 บาท แพงกว่าทางเลือกที่ 1 ไป 810 บาท แต่เราจะมีบัตรส่วนลดไว้ใช้ซื้อเลนส์ตัวอื่นอีก 5,000 บาทครับ ทำให้ทางเลือกนี้เหมาะกับคนที่ต้องการซื้อเลนส์ตัวอื่นเพิ่ม เช่น 50 1.2, 35 1.8
- สำหรับคนที่ไม่คิดจะซื้อเลนส์ RF เพิ่มในตอนนี้ ก็จะได้ราคา 82,900 – 3,990 = 78,910 บาท แพงกว่าทางเลือกที่ 1,2 ครับ
สรุปว่าควรซื้อมั้ย
อันนี้ก็ต้องเทียบดูว่าข้อดีของกล้องตัวนี้กับข้อเสียของมัน อะไรสำคัญกับการถ่ายภาพของคุณมากกว่ากัน ถ้าดูแล้วข้อดีของมัน ทำให้คุณลืมข้อเสียได้ ก็ซื้อมาใช้ได้เลย แต่ถ้าข้อเสียของมันยังทำให้คุณลังเลใจ ก็อย่าพึ่งซื้อมาใช้ หรือถ้ารู้สึกว่ามันยังแพงเกินไป ก็รอไปก่อน สักพักก็คงลดราคาลงมาในจุดที่เหมาะสม
ผมมองว่าในภาพรวมแล้วมันเป็นกล้องที่มีระบบการใช้งาน และการควบคุมที่ดี แม้จะมีข้อเสียไปบ้าง แล้วดันเป็นข้อเสียที่สำคัญกับการใช้งานของผม ก็เลยยังไม่คิดจะซื้อ Canon R ในตอนนี้ แต่ด้วยระบบของมันทำให้เห็นได้ว่าตัวหน้าที่ Canon จะออก Full Frame Mirrorless ออกมานั้นน่าจะน่าสนใจกว่านี้ ขอเพียงแค่มีกันสั่น, ถ่าย 4K ได้แบบไม่ครอป, ใส่การ์ดได้สองใบ, แบตอึดกว่านี้อีกนิด และชาร์ตผ่าน Powerbank ทั่วไปได้ แค่นี้ผมก็พร้อมที่จะซื้อแล้ว แม้ว่าราคามันอาจจะโดดขึ้นไปแสนกว่าๆ ก็ตามที
ใครตัดสินใจว่าจะซื้อต้องรีบซื้อก่อนสิ้นเดือนนี้นะครับ น่าจะเป็นช่วงที่น่าซื้อที่สุด เพราะมีโปรน่าสนใจทำให้ราคาโดยรวมถูกลงไปพอสมควร แต่ถ้ายังไม่คิดจะซื้อก็รอไปก่อน มาร้องเพลงรอไปกับผมก็ได้ เราไม่รีบใช่มั้ย ฮ่าๆๆๆ