หนึ่งในเป้าหมายสำคัญมากที่สุดของทริปนี้นั่นก็คือ Kawaguchiko เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อเอ่ยคำทักทายกับฟุจิซัง ดังนั้นต้องเลือกวันที่เราจะได้เจอกันแบบเต็มตาเต็มใจ พยากรณ์อากาศแจ้งว่าวันนี้แดดจ้าฟ้าใสแน่นอน ซึ่งแค่เปิดประตูห้องพักออกไปก็รู้เลยว่าวันนี้อากาศดีแน่ๆ เราเลือกที่จะเดินทางไปด้วยรถบัสเพราะนั่งยาวๆ แบบต่อเดียวถึง สะดวกมากครับ
วิธีการจองและซื้อตั๋วรถบัสแบบ Online ซึ่งสามารถซื้อได้ล่วงหน้า 30 วัน ดูได้จาก Link ด้านล่างเลยครับ ส่วนตัวแนะนำว่าถ้าเราวางเป้าหมายว่าจะไปแบบ One Day Trip แล้วละก็ เลือกจองล่วงหน้าแค่ไม่กี่วันก่อนเดินทางจะดีที่สุดครับ เพื่อเราจะได้มีเวลาเช็คพยากรณ์อากาศให้แน่นอนที่สุด ว่าวันที่เราไปจะแดดจ้าฟ้าใสจริงๆ เพราะถ้าไปถึงแล้วฟ้ามืด หรือฝนตกนี่คือเสียเที่ยวเลยก็ว่าได้ ส่วนผมจองวันที่ 18 พย. 2017 แล้วเดินทางไปวันที่ 20 พย. 2017 ซึ่งพยากรณ์อากาศชี้ชัดว่าอากาศดี เลือกจองเที่ยวแรกสุด เพื่อให้ไปถึงให้ไวที่สุดครับ รถเที่ยวแรกสุดจะออกประมาณหกโมงเช้า ไปถึงสถานี Kawaguchigo ประมาณ 8 โมงเช้า เร็วกว่าหรือช้ากว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรครับ เที่ยวเช้าตั๋วจะเต็มเร็วครับ ต้องรีบจองหน่อย
Link : https://www.japankakkoii.com/japan-travel/shinjuku-kawaguchiko-highway-bus-2017/
ตารางรถบัสที่ออกจากสถานีชินจุกุครับ แต่เพื่อความแน่นอนกดที่ Link ด้านบนแล้วป้อนวันที่เราต้องการเดินทางจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องที่สุด อันนี้ดูคร่าวๆ เป็นแนวทางก็พอครับ ว่ามีรอบประมาณไหนบ้าง แล้วจะถึงสถานี Kawaguchiko ประมาณกี่โมง
หลังจากจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว จะได้ตั๋วแบบ E-Ticket ซึ่งเราเปิดโชว์ให้เจ้าหน้าที่และคนขับดูได้เลย แต่ถ้าอยากให้ชัวร์ก็ Print มาเผื่อสักชุดก็ดีครับ เกิดมือถือหาย หรือเน็ตหมดก็จะได้ไม่ซวยหน้างาน
การเดินทางจากสถานีชินจุกุไป Shinjuku Expressway Bus Terminal ให้เราออกทาง South หรือ New South Exit ก็ได้ครับ ทะลุออกมาได้เหมือนกัน รูปร่างหน้าตาตึกก็ประมาณนี้ครับ อันนี้ถ่ายมาจากเมื่อคืนที่มาเดินสำรวจไว้ก่อน เจอตึกแล้วก็เดินขึ้นไปเลยบนชั้นสี่ครับ ค่าตั๋วก็อยู่ที่ 1,750 เยนต่อเที่ยวครับ ไปกลับก็ 3,500 เยนต่อคน
ควรไปถึงประมาณ 15 นาทีก่อนเวลารถออกนะครับ จะได้มีเวลาเข้าห้องน้ำ เตรียมเนื้อเตรียมตัวได้ทัน รถบัสญี่ปุ่นค่อนข้างตรงเวลา ถ้าเราไปช้าเขาอาจจะไม่รอเหมือนรถทัวร์บ้านเรานะครับ พอไปถึงก็ถามประชาสัมพันธ์เลยครับ เอาตั๋วเราให้เขาดูแล้วถามเค้าว่าเราต้องไปรอตรงประตูไหน แล้วก็ไปนั่งรอแถวๆ นั้นรอขึ้นรถต่อไป พอถึงเวลาก็แค่เอาตั๋วให้คนขับรถดูก็เรียบร้อยขึ้นไปนั่งได้เลย และนี่คือภาพแรกที่ฟุจิซังออกมาทักทายเราครับ แดดจ้าฟ้าใสมากเลยวันนี้
ใช้เวลาเดินทางไม่เกินสองชั่วโมงจากชินจุกุ เราก็มาถึงที่สถานี Kawaguchigo ครับ ลงรถมาก็มาหาซื้อตั๋วรถ Retro Bus ก่อนเลย ซึ่งก็ตัดสินใจซื้อตั๋วเหมาขึ้นหมดทั้ง Retro Bus, ล่องเรือ และขึ้นกระเช้า มาทั้งทีก็จัดให้คุ้มครับ ตั๋วแบบนี้เรียกว่า Kawaguchiko R Coupon ราคาตั๋วอัพเดทล่าสุดตอนนี้อยู่ที่ 2,600 เยนต่อคน ใช้ได้สองวัน ใครมานอนค้างที่นี่ก็จะใช้ได้คุ้มค่าสุดๆ แต่ถึงแม้ว่าจะมาแบบ One Day Trip ก็ถือว่าคุ้มแล้วกับราคานี้ (ปีที่แล้วยังราคา 2,300 เยนต่อคนอยู่เลยนะ) ราคานี้รวมค่าตั๋ว Retro Bus นั่งได้สองวัน ส่วนล่องเรือได้แค่หนึ่งรอบ และขึ้นกระเช้าไปกลับได้แค่หนึ่งรอบ รายละเอียดอัพเดทที่สุดดูที่ Link ด้านล่างได้ครับ
Link : https://www.mtfujiropeway.jp/en/guide/
ซื้อตั๋วเรียบร้อยจะได้ตารางรถมาด้วย เก็บไว้ดีๆ นะครับ โดยเฉพาะเวลาขากลับ เพราะถ้าเที่ยวเพลิน รถบัสหมดนี่เดินกันเหงื่อซึมแน่ๆ สำหรับรถเรโทรบัสรอบแรกสุดจะอยู่ที่ 9:00 AM. ครับ จริงๆ น่าจะเริ่มเช้ากว่านี้สักหน่อย แสงจะได้สวยๆ กว่านี้ ระหว่างนั้นก็ไปหาอะไรทานก่อนครับ แผนแรกคือจะไปกินข้าวแกงกระหรี่ร้านฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ เพราะดูแล้วได้เห็นวิวฟูจิซังด้วย แต่ไปถึงแล้วร้านยังไม่เปิด เงิบกันไป ก็เลยต้องใช้แผนสองซึ่งก็ง่ายๆ อีกตามเคย เดินเข้าเซเว่นกินข้าวกล่องกัน เน้นไว เพราะต้องรีบกลับมาต่อแถวรอขึ้นเรโทรบัสครับ ถ้ามาช้าคิวยาวก็ต้องยืนขาแข็งไปอีก 15 นาทีครับ
ระหว่างนั้นก็เดินเล่นรอบๆ สถานีครับ แดดจ้า ฟ้าสีน้ำเงินเข้มมากๆ เลย บริเวณสถานีรถไฟ Kawaguchiko นี่ก็สวยเอาเรื่องเหมือนกัน มีมุมให้เดินถ่ายรูปเยอะไปหมด แต่ทำไมเราลืมถ่ายกับมุมรถรางสุดคลาสสิคไปซะได้
รถ Retro Bus รอบแรกสุดจะเริ่มวิ่งช่วงเก้าโมงเช้าครับ ถ้ามาต่อคิวช้าก็ต้องเสียเวลายืนรอไปอีก 15 นาที ดังนั้นกินข้าวเสร็จเดินถ่ายรูปเรียบร้อย ก็รีบมายืนรอคิวกันดีกว่า ระหว่างที่รอนี่เสียงคนไทยดังเต็มไปหมดเลย อารมณ์เหมือนมาทัศนศึกษากับเพื่อนร่วมห้องมาก
ป้ายที่ 22 : Kawaguchiko Natural Living Center
นั่งกันไปยาวๆ ครับ ระหว่างทางก็ดูๆ เล็งๆ ไว้ว่าจะไปเที่ยวป้ายไหนบ้าง ตรงไหนสวย ตรงไหนน่าแวะ ก็จำๆ ไว้ครับ เสร็จแล้วก็มาลงที่ป้าย 22 ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย ใช้เวลาเดินทางราวๆ ครึ่งชั่วโมงครับ มุมนี้ช่วงเก้าโมงครึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าย้อนแสงแรงเอาเรื่องแล้วเหมือนกัน ถ้ามาสักช่วง 7-8 โมงเช้าคงดีกว่านี้ แต่ก็ต้องค้างที่นี่ถึงจะได้ถ่ายช่วงแสงเช้า เพราะงั้นก็อย่าไปซีเรียสครับ ย้อนแสงก็ตบแฟลชไป
สิ่งหนึ่งที่ผมคาดการณ์ผิดมากๆ นั่นก็คือไม่ได้เอาเลนส์ 35 F1.4L ติดมาด้วย เพราะคิดไม่ถึงว่าพอมายืนที่ Kawaguchiko แล้วภูเขาไฟฟูจิมันจะใหญ่อลังการขนาดนี้ เพราะเวลาดูในรูปมันไม่ได้ใหญ่มากนัก คิดว่าใช้เลนส์ช่วงแค่ 20,85,135 ก็น่าจะพอ ซึ่งมาพบว่ามันไม่พอ ใช้ช่วง 20 ภูเขาไฟฟูจิก็เล็กไป 85 ก็ต้องถอยหลังไกลไป น่าเสียดายมาก สุดท้ายก็เอา 85 ถ่ายพาโนเอา ก็พอไหวเนอะ
เดินเล่นถ่ายรูปจนเต็มที่แล้วก็พักผ่อนด้านในสักหน่อย ของเด็ดร้านนี้ก็ไอติมบลูเบอรี่ครับ แต่ป้าเจี๊ยบอยากกินชาเขียวมากกว่าก็ตามใจป้าแกครับ Happy wife, Happy Life ท่องไว้ให้จงดี บรรยากาศด้านในร้านก็โล่งๆ โปร่งๆ น่านั่งดีครับ แต่ถ้าเป็นช่วงสายๆ บ่ายๆ คนคงเยอะ
ป้ายที่ 20 : Sunnide Resort/Nagasaki Park Ent.
เป้าหมายต่อไปคือป้าย 20 หน้ารีสอร์ทซันนิเดะ ซึ่งช่วงพีคอย่างใบไม้เปลี่ยนสี, ช่วงซากุระหรือช่วงหิมะที่รีสอร์ทแห่งนี้จะเป็นที่พักที่จองคิวได้ยากเย็นเป็นที่สุด น่าจะทำเป็นโรงแรมสิบชั้นซะให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะตำแหน่งที่ตั้งมันดีมากจริงๆ เห็นฟูจิแบบเต็มๆ วิวสวย บรรยากาศดี และที่สำคัญที่นี่ตอนที่เราไปนั้น ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมาก ในขณะที่จุดอื่นๆ เริ่มจะร่วง ๆ ไปบ้างแล้ว ตรงนี้เลยแวะถ่ายกันนานมาก มันสวยจริงๆ
ป้ายที่ 19 : พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิทชิกุ คุโบตะ
เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ อุโมงค์ใบไม้แดง Momiji Kairo หรือชื่อภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Maple Corridor ซึ่งเป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นเปิ้ลที่ปลูกอยู่สองข้างทาง ระหว่างทางระบายน้ำ ตรงนี้อยู่ตรงป้าย 19 ครับ ลงรถมาแล้วก็เดินมานิดหน่อยก็ถึงละครับ กะว่าจะมาลองเดินเล่นสักแป๊ปๆ แล้วค่อยไปกินข้าว จากนั้นค่อยกลับมาซ้ำช่วงทไวไลท์เย็นๆ อีกทีนึงตอนที่เขาจัดงาน Light Up กันอีกที น่าจะสวยกว่าตอนกลางวัน เพราะตอนนี้ใบไม้ร่วงไปเยอะพอสมควรแล้ว ช่วงที่สวยที่สุดของที่นี่น่าจะเป็นช่วงกลางๆ เดือน พย. หลังจากใบไม้แดงเต็มที่และเริ่มร่วงหล่น ก็จะเห็นเป็นสีแดงหมดทั้งด้านบน และด้านล่าง แต่ตอนที่เราไปถึงมันไม่พีคแล้ว เริ่มเข้าสู่ช่วงโรยรา ด้านล่างใบแห้งเป็นสีน้ำตาล ด้านบนก็ไม่ค่อยเยอะแล้ว น่าเสียดายเหมือนกัน
จากภาพด้านบน กลับหลังหันแล้วเดินตรงไปตามทางนิดนึงก็จะเจอซุ้มขายอาหารครับ ช่วงเทศกาลดูใบไม้เปลี่ยนสีจะมีซุ้มอาหารขายตั้งแต่กลางวันยาวไปจนค่ำๆ นู้นเลยครับ เดินเที่ยวกันเพลินๆ คนเยอะมาก ก็ไหลๆ กันไป วันที่ไปถึงใบไม้โซนนี้เริ่มร่วงไปเยอะละครับ ถ่ายมุมกว้างก็จะไม่สวยเท่าไหร่ ต้องซูมเจาะเอาเป็นจุดๆ ไป น่าเสียดายเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีเหลือให้ดูเนอะ ดีกว่ามาแล้วได้เห็นแต่กิ่งแต่ก้าน
ป้ายที่ 11 : Plesure Cruiser/Ropeway Ent.
เดินจนเริ่มหิวเป้าหมายต่อไปก็หาอาหารท้องถิ่นของที่นี่กินกัน นั่นก็คือ Hoto ครับ ลักษณะจะเป็นหม้อไฟ ต้มกับมิโซะ เส้นจะหนาๆ นุ่มๆ ต้มรวมกับผักต่างๆ ที่เด็ดสุดคือฟักทอง น้ำซุปจะหวานกลมกล่อมมาก ถือเป็นเมนูอาหารที่ต้องกินหากมาที่นี่ครับ ร้านดังๆ มีเยอะครับแถวๆ สำหรับคนไทยร้านที่ดังสุดก็หนีไม่พ้นร้าน Hoto Fudo มีหลายสาขาเหมือนกัน ทั้งที่ตรงข้ามสถานีรถไฟ กับร้านที่อยู่ตรงทางไป Music of art อยู่ใกล้ๆ กับ Lawson แต่ตอนนั่งรถบัสผ่านดูผู้คนพลุกพล่านมาก แถวต่อคิวยาวออกมานอกร้านเลยทีเดียว เพราะเราไปถึงช่วงเที่ยงพอดี
ดูจากเวลาแล้วคิดว่าไม่น่ามาเสียเวลากับการต่อคิวกินอาหาร เลยนั่งรถยาวไปป้าย 11 เลย แล้วค่อยหาร้านแถวๆ ท่าเรือกิน ก็เจอร้านนี้ครับ อยู่ตรงชั้นสอง มองเห็นวิวสวยๆ ของทะเลสาปด้วย ถือว่าวิวดีมากครับ คนเยอะเหมือนกันแต่โชคดีมากได้โต๊ะติดกระจก ระหว่างรอก็เลยได้ถ่ายอะไรเล่นบ้าง ไม่ได้ถ่ายรูปร้านมาเต็มๆ แต่จากรูปด้านล่างจะเห็นร้านอยู่ริมซ้ายสุดเลยติดกับที่รถบัสจอดเยอะๆ อาคารที่ชั้นสองเป็นกระจกแผ่นใหญ่ๆ นั่นแหละครับร้านอาหารมื้อเที่ยงของเราล่ะ
เมนูอาหารก็ตามภาพด้านล่างเลย เราสั่ง Spicy Hoto ไปหนึ่งชุด (เห็นคำว่า Kimuchi ก็เลยสั่งเลย ต้องดีแน่ๆ ) กับข้าวราดแกงกระหรี่หมูทอด รสชาติอร่อยใช้ได้เลย Hoto น้ำซุปหวาน อร่อยกว่าที่คิด นั่งซดหมดหม้อเลย ทานอาหารไป ชมวิวทะเลสาปไป ชิลดีมากเลย ดีใจที่ตัดสินใจมาร้านนี้ ไม่ยืนต่อคิวรอกินร้านดัง เพราะลิ้นอย่างพวกเรา อาหารญี่ปุ่นก็อร่อยหมดแหละ เอาเวลาต่อคิวมาเที่ยวดีกว่า ส่วนตัวแนะนำร้านนี้เลย อาหารอร่อย แถววิวยังดีอีกด้วย ใครสนใจร้านนี้ขึ้นรถบัสมาป้าย 11 มองดูตึกที่ติดลานจอดรถฝั่งติดทะเลสาปครับ อาคารริมสุดที่ชั้นสองเป็นกระจกๆ นั่นแหละใช่เลยครับ
อีกหนึ่งมุมที่เล็งไว้ ตรงป้ายโรงแรม มีคนชี้เป้าว่าเดินไปตรงไม้สีแดงๆ ด้านล่าง จะมีมุมให้ถ่ายภูเขาไฟฟูจิโดยมีฉากหน้าเป็นใบเมเปิ้ลสีแดง ก็กะว่าจัดแน่ๆ แต่ขอล่องเรือ และขึ้นกระเช้าก่อน แล้วค่อยต่อรถลงไปถ่ายมุมนี้อีกที
ส่วนป้าเจี๊ยบตอนแรกวางแผนไว้ก่อนมาว่าหลังจากลงกระเช้าแล้ว เราก็จะนั่งรถมาลงตรงนี้ ผมก็แยกไปถ่ายรูป เก็บมุมที่อยากเก็บให้เต็มที่ ส่วนป้าก็จะไปนอนแช่น้ำร้อนที่โรงแรม ซึ่งบางโรงแรมรับแขกที่มาแช่น้ำร้อนอย่างเดียวด้วยในช่วงบ่าย ก็ดูลงตัวดี แล้วนัดเจอกันตรงป้าย 18-19 ให้ป้าเดินเล่นชมวิวบรรยากาศงานเทศกาลตรง Maple Corridor ไป เพราะช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เขาจะมี Light Up ตรงนี้ ก็จะสวยได้บรรยากาศคนละแบบกับช่วงกลางวัน ก็กะว่าจะมาเก็บฟ้าช่วงทไวไลท์ตรงนี้ น่าจะสวยดี แล้วก็ค่อยนั่งรถบัสกลับสถานี Kawaguchiko แล้วนั่งรถบัสกลับชินจุกุต่อไป
แต่ทุกอย่างก็ผิดแผนครับ คุณป้าไฟแดงมาก่อนกำหนด อดแช่น้ำร้อนซะงั้น…
กินกันอิ่มเอมแล้วก็มาเข้าแถวรอลงเรือครับ ตอนซื้อตั๋ว R Coupon เราจะได้ตั๋วมาพร้อมกันสามแบบ คือสำหรับขึ้นรถบัส, ล่องเรือ, และขึ้นกระเช้า ตอนขึ้นเรือก็หยิบตั๋วที่พิมพ์ว่า Boat ให้เขาไป แล้วก็ไปจับจองที่ยืนดูวิวกัน คนเยอะมาก บรรยากาศดีมาก ไม่เสียแรงที่ซื้อตั๋วขึ้นเรือเลย ใครมาวันที่แดดจ้าฟ้าใส ผมว่าการล่องเรือก็ทำให้ได้เห็นวิวดีๆ แปลกตาๆ พอสมควรเลย
ล่องเรือเรียบร้อยก็เตรียมตัวเดินไปขึ้นกระเช้าต่อ ระหว่างทางผ่านร้านน่ารักๆ เยอะเหมือนกัน ร้านนี้ก็สวยแต่ไม่มีเวลาแวะพักแล้ว คิวขึ้นกระเช้ายาวมากกกก ยาวแบบไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน จนคิดว่าหรือไม่ขึ้นดีวะ แต่ก็นะซื้อตั๋วแล้ว ก็ขึ้นละกัน ต่อคิวไปนานเกือบชั่วโมงเหมือนกันกว่าจะขึ้นกระเช้า แต่มุมบนกระเช้าจะเห็นว่าใบไม้ร่วงไปเยอะแล้วโดยเฉพาะตามแนวเคเบื้ลรถกระเช้า เหลือแต่กิ่งกันเลยทีเดียว
แถวยาวมากครับ ต่อกันวนๆ ขึ้นไปถึงชั้นขึ้นกระเช้านู้นเลย เกือบถอดใจแล้ว แต่ซื้อตั๋วแล้วก็ต้องขึ้นแหละ แล้วช่วงนี้แสงสวยๆ เก็บภาพด้านบนน่าจะสวยเพราะฟ้าจะสะท้อนน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้ม บวกกับแสงเฉียงๆ ยามบ่ายจะทำให้ภาพดูละมุนขึ้นอีกเยอะเลย ซึ่งก็ไม่ผิดหวังแม้จะต้องต่อคิวนานเกือบชั่วโมง แต่ด้านบนบรรยากาศดีมากจริงๆ
เดินเที่ยวถ่ายรูปเล่นจนหนำใจก็มาเข้าแถวลงไปด้านล่าง คนไม่เยอะมากเหมือนขาขึ้น แต่กว่าจะลงไปถึงด้านล่างแสงก็เริ่มหมดลงมาถึงด้านล่างก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ต้องต่อคิวขึ้นรถบัสอีก ซึ่งแถวยาวมาก แล้วพอรถมารถก็เต็มไม่ถึงคิวของเรา ก็ยืนรอไปอีก 15 นาทีสำหรับเที่ยวถัดไป แสงก็ค่อยๆ หมดลงไปต่อหน้าต่อตา เลยตั้งคำถามว่าเอาไงต่อดี แผนเดิมที่จะไปถ่ายมุมใกล้โรงแรมไม่น่าเวิคแล้ว เพราะตรงนั้นแสงหมดแล้ว เลยตัดสินใจว่านั่งรถย้อนกลับไปที่ป้าย 20 ดีกว่า เพราะมุมตรงนั้นเก็บภาพช่วงทไวไลท์น่าจะสวย ถ่ายถึงสักห้าโมง แล้วค่อยนั่งรถบัสกลับไปป้าย 19 เดินถ่าย Light Up อีกทีน่าจะพอดี หกโมงนิดๆ ก็มารถบัสเที่ยวสุดท้ายกลับสถานีรถไฟ แล้วขึ้นรถบัสเที่ยว 19:30 น. กลับชินจุกุ ถึงชินจุกุราวๆ สามทุ่ม จบทริปแบบสวยๆ
แต่ก็อย่างที่รู้กัน มันไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนทุกอย่างหรอก โดยเฉพาะเวลากำหนดเวลาเป๊ะๆ เนี่ย ไม่ได้ตามนั้นสักที…
ป้ายที่ 20 : Sunnide Resort/Nagasaki Park Ent.
ลงมาถึงป้าย 20 อีกรอบ ฟ้ากำลังหวานเลย พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เตรียมตัวเข้าสู่ช่วงทไวไลท์ที่ฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับแสงไฟของตัวเมืองเบื้องหน้า ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปเล่นรอไป พาโนบ้าง ปกติบ้าง จนฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเข้ม กำลังสวยเลย เวลาเจอมุมสวยๆ แสงดีๆ นี่มันจะถ่ายเพลินมากๆ เผลอแป๊ปเดียวเวลาหมด
ถ่ายอยู่จนถึงห้าโมงเกือบครึ่ง ก็เก็บกล้องเดินย้อนกลับไปรอรถบัสที่ป้าย ได้ขึ้นรถบัสรอบ 17:46 น. ซึ่งก็แอบเสียดายมาก ฟ้ากำลังงามเลย มีอีกสองสามมุมที่น่าเก็บแต่ก็ไม่ทันแล้ว ที่สำคัญรถบัสคนแน่นมาก จนเริ่มไม่แน่ใจว่าถ้าลงแล้วขากลับจะมีรถกลับไปถึงสถานีรถไฟรึเปล่าเพราะป้าย 19,18 นี่คนต่อแถวยาวมากกกกกก จนคิดว่าถ้าเราลงไปแล้วอาจจะไม่ได้คิวขึ้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายก็ได้ ไปๆ มาๆ ก็เลยไม่ได้ลงไปเก็บมุม Light Up เพราะกลัวว่าจะกลับไปสถานีรถไฟไม่ทัน เดี๋ยวตกรถบัสกลับชินจุกุจะยุ่งเอาก็เลยพอแค่นี้ก่อน เอาตารางรถบัสมาฝากนะครับ อย่ามัวแต่เที่ยวเพลินจนขึ้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายกลับสถานีรถไฟไม่ทันกันล่ะ
สรุปว่านั่งรถบัสยาวๆ มาจนถึงสถานีรถไฟ Kawaguchiko รู้งี้อยู่เก็บมุมที่อยากเก็บต้องป้าย 20 ต่อดีกว่า แต่ก็นะ รู้อะไรไม่สู้รู้งี้… ผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป ไปถึงสถานีก็หาของกินเล่นแถวๆ สถานีกินแก้หิวไปพลางๆ ระหว่างรอขึ้นรถบัสกลับชินจุกุต่อไป ถึงชินจุกุก็เกือบสามทุ่มแล้ว เป้าหมายคืนนี้ของเราก็คือย่างเนื้อที่ซื้อๆ มาตุนไว้วันก่อนนั่นเอง วันนี้ก็เดินออกไปช็อปของลดราคาอีกตามเคย สนุกมากๆ ยิ่งลดเยอะๆ นี่ยิ่งสนุกได้เนื้อกลับมาอีกแพ็ค ลายอย่างสวยเลย
กลับมาถึงที่พักเอาของไปเก็บแล้วก็ออกมาเดินหาซื้อของลดราคากันเหมือนเดิม วันนี้มีลดราคาเยอะมาก หลายรายการ ดูลายเนื้อแต่ละตัวสิ แต่บางอันมันก็จะหั่นบางสำหรับทำชาบู ถ้าเป็นเนื้อสำหรับย่างก็จะหั่นให้มีความหนาหน่อย
เนื้อสำหรับย่างต้องหนาๆ แบบนี้ครับ ลายชวนน้ำลายไหลมาก สัดส่วนไขมันแทรกกำลังดี เยอะกว่านี้กินมากๆ จะเลี่ยนครับ แล้วก็ซื้อหมู ซื้อกุ้งมาด้วย เพราะในห้องมีเตาย่างด้วย มีกุ้งแนวกุ้งลายเสือบ้านเราด้วย ตัวแน่นๆ เลย แล้วที่ขาดไม่ได้ก็ไวน์แดง กับลูกพลับสุดอร่อย ลูกพลับญี่ปุ่นอร่อยมาก กินทุกวันเลย ใครมาช่วงที่ลูกพลับออก อย่าพลาดนะครับ อร่อยจริงๆ
มาดูลายของเนื้อกันแบบชัดๆ อีกที ทั้งขนาด ทั้งความหนา ตัดออกมาได้ลงตัวมาก ทอดด้วยการหยอดเนยลงไปในกระทะแล้วจี่ หรือเรียกหรูๆ หน่อยก็คือเอาเนื้อมาเซียร์ด้วยไฟร้อนๆ ให้ด้านนอกสุก ด้านในชุ่มๆ เวลากินจะได้ไม่แห้ง
เนื้อนุ่มมากจนลืมถ่ายรูป จิบเบียร์เย็นๆ ไปด้วยอร่อยล้ำ ไวน์ไม่สนนะนาทีนี้ อร่อยมากจนติดใจเลย ไม่เข้าร้านเนื้อย่างละทริปนี้ ซื้อมาจี่กินเองที่ห้องสบายกว่า ถูกกว่าด้วย
หลังจากละมุมลิ้นด้วยเนื้อเทพแล้ว ก็มาตบท้ายด้วยผลไม้หวานๆ วิธีกินง่ายมากครับ ล้างให้สะอาดแล้วกัดกินทั้งเปลือกได้เลย หรือถ้าอยากกินสบายๆ หน่อยก็ผ่าเป็นหกซีกแบบนี้แล้วค่อยกินก็ได้ ทุกเช้าผมจะหั่นแบบนี้แล้วเอาพลาสติค warp หุ้มไว้เป็นลูกๆ ยัดใส่กระเป๋าไปด้วยครับ ขึ้นรถไฟก็แกะมากิน อร่อยมากๆ กินทุกวันเช้าเย็นเอาให้หนำใจกันเลยทีเดียว
อิ่มเอมแล้วก็เปิดน้ำร้อน แช่เนื้อแช่ตัว ระหว่างนั้นก็จิบเบียร์เย็นๆ ไป สบายตัวมาก พรุ่งนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกและฟ้าครึ้มๆ ก็เลยเดินเที่ยวในโตเกียว ดูบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีในโตเกียวกัน




















เดินเที่ยวพักผ่อนจนเต็มที่แล้วก็ไปที่อื่นกันต่อ เดินกลับมารอคิวขึ้นรถ Retro Bus กันต่อ






































































รอช้าอยู่ใย มาจี่เนื้อกันเถอะ ทำหมูให้ป้ากินด้วย จะได้สบายท้องก่อนนอน



