/

Autumn in Tokyo 2017 : Day 1 – From Chiang Mai to Shinjuku

สำหรับวันแรกนั้นเป็นวันสำหรับการเดินทางครับ กว่าจะไปถึงห้องพักก็ปาไปสามทุ่มแล้วครับ ว่าแล้วก็ฉายตารางบินซ้ำอีกทีนึง

 

Flight 1 : CNX – DMK : Thai lion Air SL525 เวลา 6:50 am. – 8:05 am.

Flight 2 : DMK – NRT : Air Asia XJ606 เวลา 10:45 am. – 7:00 pm.

 

เรื่องขั้นตอนการเดินทางเช็คอินอะไรคงไม่ต้องพูดหรือรีวิวมาก สิ่งที่สำคัญก็มีแค่เนื่องจากเวลาที่กระชั้นชิดพอสมควร ก็ต้องรีบรับกระเป๋าแล้วเดินต่อไปเช็คอินที่อาคารระหว่างประเทศให้เร็วที่สุด หาเคาร์เตอร์เช็คอินให้ไว และเตรียมไว้ด้วยว่าถ้าน้ำหนักกระเป๋าเกินจะต้องเอาอะไรออก แต่ถ้าชั่งมาจากที่บ้านแล้วก็สบายใจได้ จริงๆ ขาไปไม่น่าห่วงหรอก ที่น่าห่วงคือขากลับมากกว่าว่าน้ำหนักที่เราซื้อไว้มันพอหรือเปล่า เพราะขากลับเจ้าหน้าที่เช็คอินที่ญี่ปุ่นเคี้ยวมาก

 

หลังจากเช็คอินเพื่อเดินทางไปที่ญี่ปุ่นกับสายการบินเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมตัวต่อไปก็มีดังนี้

  • ตรวจเช็คเรื่องเอกสาร, พาสปอร์ต, Boarding Pass และบัตรสำคัญต่างๆ ให้เรียบร้อย จัดใส่กระเป๋าเป้ที่เราแบกขึ้นเครื่องไว้ตรงกระเป๋าหน้า หรือจุดที่หยิบได้ง่าย
  • อาหารการกินจัดการให้เรียบร้อย นั่งเครื่องไปอีกหกชั่วโมงต้องกินเผื่อไว้ก่อน หรือถ้าไม่ซีเรียสเรื่องซื้อกินบนเครื่องก็ค่อยไปกินบนนู้นตอนหิว
  • ที่ดอนเมืองขาเดินทางออกไปต่างประเทศไม่มี 7-11 ให้ซื้อของกินนะครับ มีแต่ขาเดินทางในประเทศ นี่เดินไปดูแล้วมันมีกระจกใสๆ กั้นอยู่ เดินข้ามไปไม่ได้
  • หาน้ำเปล่าขึ้นไปกินบนเครื่องด้วย ซื้อจากร้าน Boots จะมีน้ำราคาปกติไม่แพงขายอยู่  อย่าไปซื้อร้านที่ขายแพงๆ ก็แล้วกัน ซื้อขึ้นไปสักขวดสองขวดต่อคน
  • เตรียมปากกาไปกรอกเอกสารบนเครื่องด้วย พวกบัตรผ่านเข้าเมือง, ศุลกากรพวกนี้กรอกให้เรียบร้อยครบถ้วนตั้งแต่อยู่บนเครื่อง
  • ก่อนเครื่องลง ให้รีบเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องมารอคิวเข้าห้องน้ำด้านล่าง และเสียเวลาไปเปล่าๆ
  • สลับซิมเอาซิม net ที่เราซื้อมาใส่เครื่องซะ พอเครื่องลง แล้วเราเปิดเครื่อง ระบบจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ญี่ปุ่น และเริ่มนับวันใช้งานของเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเชื่อมโยงสัญญาณเข้ากับญี่ปุ่น  เคสผมก็ใช้แค่ซิมผมคนเดียวไปก่อน ของเจี๊ยบค่อย Activate พรุ่งนี้
  • ใครใช้กล้องถ่ายรูปอย่าลืมปรับเวลาให้ตรงกับเวลาญี่ปุ่นด้วยล่ะ ส่วนนาฬิกาถ้าใช้ดูจากโทรศัพท์สมัยนี้มันฉลาดละ มันปรับให้เองเลย แต่ถ้านาฬิกาข้อมือก็ปรับเองกันไป
  • รีบไปให้ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเดินแบบ Slow Life เพราะไม่งั้นได้ต่อคิวแบบ Slow Life หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองแน่นอน
  • ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วเตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบ Passport, เอกสารยืนยันเรื่องที่พัก และกำหนดการท่องเที่ยวของเรา ปกติเขาไม่ถามหรอก แต่ถ้าหน้าตาเราน่าสงสัยเขาก็อาจจะถาม แล้วถ้าเอาแต่ให้คนอื่นเตรียมให้ ตอบไม่ได้เดี๋ยวจะซวยเอา อย่างน้อยต้องรู้นิดๆ หน่อยว่าพักที่ไหน เที่ยวที่ไหนบ้าง จะได้ตอบเขาถูก
  • เตรียมความพร้อมเรื่องการเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง และการเดินทางไปที่พัก รับกระเป๋าแล้วต้องเดินไปไหน ซื้อตั๋วตรงไหน ขึ้นรถตรงไหนยังไง พวกนี้มีคนเขียนรีวิวไว้ละเอียดยิบ ศึกษาก่อนจะได้ไม่ต้องหลงคว้างกลางสนามบิน
  • ที่สนามบินมีเคาร์เตอร์ขายตั๋วที่เราต้องใช้เยอะมาก เราซื้อได้เกือบครบเลย ดังนั้นวางแผนดีๆ ถ้ามีเวลาเหลือก็เดินไล่ซื้อให้ครบจะประหยัดเวลาได้มาก
  • ถ้าพักที่ชินจุกุ ซื้อตั๋วไปกลับของ Narita Express เลย นั่งต่อเดียว 1:45 ชม.ถึง ราคาตั๋วไปกลับอยู่ที่ 4,000 เยน สะดวกที่สุดแล้ว แต่ถ้าพักที่อื่นก็มีทางเลือกอื่นๆ อีกเพียบ
  • เช็ค Timetable ของรถไฟที่เราจะใช้เข้าเมืองให้ดีๆ หรือเช็คผ่านเวป Hyperdia.com ดีที่สุด เราจะรู้ว่าเรามีเวลามากน้อยแค่ไหนก่อนที่รถไฟจะออก
  • เคสของผมเครื่องลง 19:00 น. แต่รถไฟ Narita Express จะออกตอน 19:40 น. ถ้าขึ้นรอบนี้ไม่ทันต้องขึ้นรอบสามทุ่มนู้นเลย ดังนั้นทุกอย่างต้องรวดเร็ว ห้ามหลง ห้ามเคว้ง และเสียเวลา ซึ่งถ้าไปกันสองคนก็แยกกันไล่ซื้อตั๋วเลย จะได้เร็ว  และด้วยการเตรียมตัวที่ดี เราก็ขึ้นรถไฟเที่ยว 19:40 น. ได้ทันเวลา
  • ถึงที่พักราวๆ สามทุ่มอย่างปลอดภัย ทุกอย่างเป็นไปตามที่คำนวนไว้

 

จะเห็นได้ว่าถ้าเราทำการบ้านมาดี ตรวจเช็คเส้นทางต่างๆ ไว้ล่วงหน้า รู้ว่าตั๋วต่างๆ ขายอยู่ที่ไหนตาม Link ที่แปะไว้ใน Post Part 1 ก่อนหน้า เราจะสามารถซื้อตั๋วและจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยภายในเวลาแค่ 30 นาทีหลังจากเครื่องลงครับ แต่ถ้าไปชักช้าเช่นมัวเข้าห้องน้ำที่สนามบินหลังจากเครื่องลงแล้ว เราอาจจะต้องต่อคิวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองนาน แล้วทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปหมด ดังนั้นอย่าเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ควรเสียครับ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปได้เร็วๆ ทุกอย่างจะเร็วเอง

อย่างที่บอกไว้ด้านบนว่าเราจะเดินทางจากสนามบินนาริตะไปชินจุกุด้วยรถไฟ Narita Express รายละเอียดการเดินไปเคาร์เตอร์ซื้อขายตั๋ว Narita Express อ่านได้จาก Link ด้านล่างเลยครับ เขารีวิวไว้ละเอียดมากๆ เดินตามสบายๆ เลยครับ ดูเรื่องตั๋วดีๆ ด้วยนะครับ เราจะได้ตั๋วมาสองใบสำหรับเดินทางขาไปหนึ่งใบ ขากลับหนึ่งใบ  ขาไปจะระบุที่นั่ง และตู้ขบวนที่เราต้องนั่งไว้ ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น ตัวอย่างจากรูปด้านล่างจะเห็นได้ว่าที่นั่งคือ 7B ส่วนตู้ขบวนที่เราต้องขึ้นคือตู้ขบวนที่ 11 ได้ตั๋วแล้วก็ตามทางลงบันไดเลื่อนไปรอที่ตู้ที่ 11 ได้เลยครับ

Link :

https://travelruarua.com/2017/02/05/narita_express_tokyo/

ปล. ภาพประกอบจาก Internet ครับ เพราะตอนนั้นแพ็คกล้องลงกระเป๋าลากไว้หมดแล้ว มือถือก็ไม่ได้หยิบมาถ่ายเพราะเวลากระชั้นชิดมาก

 

เมื่อถึงสถานีชินจุกุเราก็ขนกระเป๋าลง แล้วนั่งรถไฟ JR ต่อไปอีกหนึ่งสถานี ใช้เวลาเดินทาง 2 นาทีก็มาถึงสถานี Okubo ตอนออกจากสถานีก็ใช้ตั๋ว Narita Express ใบสีเขียวนะแหละครับ ไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม แล้วก็เดินไปที่พักที่เราจองไว้ผ่าน AIR BNB อีกที  ซึ่งปกติแล้วหากเจ้าของที่พักที่เป็นมืออาชีพ หลังจากเราโอนเงินเรียบร้อย เขาจะส่งข้อความมาทักทาย และส่งเอกสาร PDF สรุปรายละเอียดเกี่ยวกับที่พักของเขามาให้ ก็จะมีบอกหมดตั้งแต่ออกมาจากสถานีรถไฟว่าต้องออกตรง Gate ไหน เดินไปตรงไหนยังไง พร้อมรูปประกอบเสร็จสรรพ รวมถึงตำแหน่งที่เขาซ่อนกุญแจไว้ด้วย

ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวดเรื่อง AIR BNB ดังนั้นก่อนจะจองดูรีวิวดีๆ เน้นที่รีวิวเยอะๆ และกระแสตอบรับดีๆ ก่อนจองก็ส่งข้อความไปถามเขาดูก่อน ว่าเจ้าของที่พักคุยภาษาอังกฤษกับเราได้มั้ย ตอบเร็วหรือเปล่า ถ้าส่งไปเป็นวันสองวันยังไม่ตอบ ห้องจะสวยแค่ไหนก็อย่าได้ไปพักครับ เพราะถ้ามีปัญหาเช่นรหัสกุญแจไม่ถูก เข้าห้องไม่ได้ หรือมีอะไรเร่งด่วนแล้วติดต่อให้แก้ไขปัญหาทันทีไม่ได้ อันนี้ก็ยุ่งแน่ๆ ใครไม่สบายใจเรื่องความไม่แน่นอนพวกนี้ก็พักโรงแรมปลอดภัยที่สุดครับ

ส่วนผมจากที่ทดลองมาเจ้าของที่พักโอเค ถามตอบเร็ว กระแสรีวิวดี และระยะทางเดินจากที่พักไปสถานีรถไฟไม่ไกลเกินไป วัดจาก Google Maps ได้ประมาณ 330 เมตร ก็ถือว่ารับได้ ที่สำคัญคือมีครัว และอยู่ใกล้ Supermarket ทำให้เราออกมาหาซื้อของลดราคาได้สะดวก โดยเฉพาะเนื้อลดราคานี่คือเป้าหมายหลักของเรา

สำหรับคนที่เลือกจะพัก AirBNB เนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตามที หลังจากได้ตำแหน่งที่พักที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่เราควรทำตั้งแต่ก่อนบินมาญี่ปุ่นก็คือเอาตำแหน่งที่ได้มานั้นมาเปิดดูใน Google Map แล้วลองใช้ Street View เดินดูเลยครับ จะได้คุ้นหน้าคุ้นตาย่านที่เราจะพัก และเส้นทางว่าต้องเดินไปทางไหนยังไง  เวลาไปถึงจริงๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลางมหาว่าเดินไปยังไง เลี้ยวตรงไหน ถึงหรือยัง Goole Map ที่ญี่ปุ่นมันเทพมากครับ ใช้ประโยชน์ให้คุ้ม ทำแบบนี้รับรองว่าไม่มีหลงทาง เพราะการหลงโดยต้องขนกระเป๋าใบใหญ่ๆ ลากไปลากมามันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ครับ

 

อย่างภาพด้านล่างก็จะเห็นว่าที่พักของผมระยะทางจากสถานี Okubo วัดผ่าน Google Maps ก็ประมาณ 330 ม. ก็ไม่ไกลมากครับ เดินชิลๆ สบายๆ

 

อันนี้ภาพที่พักดูด้วย Google Street view เช็คแล้วตรงกับรูปที่ได้จาก Host เห็นกระทั่งตำแหน่งที่เขาเก็บกุญแจไว้เลยทีเดียว

 

อันนี้ Supermarket ขายของสดครับ อยู่ห่างจากที่พักไม่กี่สิบเมตร เดินแวะมาดูของลดราคาได้ทั้งคืน หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาได้ครับ ยิ่งดึกยิ่งลดเยอะ !!!

 

ทำการบ้านนิดๆ หน่อยๆ มาด้วย Google Street View แค่นี้เราก็จะเห็นคร่าวๆ แล้วว่าที่พักเราเป็นยังไง รอบๆ เป็นแบบไหน มีร้านอะไรอยู่แถวนี้บ้าง ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก  หลังจากลงรถไฟมาก็ออกทาง North Gate ครับ ไม่ชัวร์ว่าอยู่ทางไหนก็เปิดเข็มทิศใน iPhone เลยครับ ตรง North Gate มีลิฟท์ด้วย ก็ลงลิฟท์เลยไม่ต้องแบกกระเป๋าลงบันไดให้เหนื่อย จากนั้นก็เดินตามที่เราทำการบ้านมา แป๊ปๆ ก็ถึงห้องพักครับ ระหว่างทางก็เล็งร้านอาหารไว้ว่าอยากมากินร้านไหน เพราะตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว ถึงห้องพักลากกระเป๋าไปเก็บแล้วก็เดินออกมานั่งกินข้าวกันตรงร้านที่เล็งไว้ เรียบร้อยแล้วก็เดินช็อปใน Supermarket กันเพลินๆ ครับ มาดูกันว่าเขามีอะไรขายกันบ้าง

 

เนื้อลายสวยๆ พวกนี้ราคาเต็มอาจจะแพงอยู่เหมือนกันครับ แต่เรารอซื้อตอนลดราคาเท่านั้น เดินดูหมายตาไว้ก่อน แปะป้ายลดราคาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

 

เห็นสติกเกอร์สีเหลืองใช่มั้ยครับ นั่นแหละลดราคาล่ะ  เนื้อลายสวยขนาดนี้ ต้องซื้อสักหน่อยแล้ว วันนี้ยังไม่ได้ทำไม่เป็นไร แช่ตู้เย็นไว้ก่อน  นอกจากนั้นพวกผลไม้ก็มีขายนะครับ แต่ช่วงที่ไปผลไม้ที่อร่อยที่สุดสำหรับผมก็หนีไม่พ้นลูกพลับครับ อร่อยมาก  อร่อยกว่าที่ Melbourne อีกครับ  ไม่ต้องเทียบกับที่ไทยเลย คนละคลาสกันจริงๆ อันนี้กินทั้งเปลือกยังได้ครับ

 

มาถึงเหนื่อยๆ ก็ต้องหาของเรียกความชุ่มชื่นให้กับร่างกายสักหน่อยครับ  ป้าเจี๊ยบก็ดูไวน์ไป  ผมก็มองเบียร์ไป  จากประสบการณ์สามทริปที่ผ่านมา ชิมมาแทบครบทุกแบบ อันที่ถูกใจที่สุดก็เจ้าขวดทองน้ำเงิน Santory The Premium Malts นี่แหละครับ นุ่ม หอม ละมุนที่สุดละ  ว่าแล้วก็จัดมาแช่ตู้เย็นสักหน่อย คืนนี้จิบเบาๆ พรุ่งนี้มีทริปแต่เช้า

 

พวกข้าวกล่อง ชูชิ ยากิโซบะอะไรพวกนี้ก็มีเพียบเลยครับ แต่เขาจะมาแปะลดราคาตอนสี่ทุ่มครับ วันแรกที่ไปยังไม่รู้ แต่ก็หยิบซื้อมาเตรียมไว้ไปทานมื้อเช้าพรุ่งนี้อยู่สองสามกล่อง

 

ก็ประมาณนี้ครับสำหรับวันแรก  กลับที่พัก เอาเบียร์แช่เย็นๆ เปิดน้ำร้อนใส่อ่างทิ้งไว้  จัดที่นอน จัดกระเป๋า เตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่พรุ่งนี้ ชาร์ตไฟอุปกรณ์ต่างๆ พรุ่งนี้เราต้องขึ้นรถไฟเที่ยวหกโมงเช้าไป Mt.Mitake กับ Mt.Takao กันครับ  เพราะตอนแรกดูจากแอปพยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ท้องฟ้าไม่ใสเท่าไหร่มีแต่เมฆ  ก็เลยคิดว่างั้นไปเดินเล่นริมน้ำกันดีกว่า มาวันแรกแข้งขายังดีอยู่ ไปจุดที่เดินเยอะๆ ก่อนจะได้เดินได้เต็มที่ และฟ้าครึ้มๆ ก็น่าจะดีไม่ร้อนด้วย  ด้านล่างคือตารางรถไฟที่เราต้องขึ้นพรุ่งนี้ครับ ดูผ่าน http://www.hyperdia.com ได้เลย สะดวกที่สุด ข้อมูลถูกต้อง พร้อมคำนวนค่าตั๋วรถไฟและเวลาเดินทางให้อย่างครบถ้วน

 

วันแรกก็แค่นี้ก่อนละกันนะครับ พรุ่งนี้ไปตามรอยนพพรกับคุณหญิงกิรติกัน !!!

 

 

 

 

Previous Story

Autumn in Tokyo 2017 : Concept & Plan

Next Story

Autumn in Tokyo 2017 : Day 2 – Mt.Mitake