/

Autumn in Tokyo 2017 : Concept & Plan

แนวทางการวาง Trip:

ทริปนี้เป็นทริปที่ 4 แล้วสำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่น สองทริปแรกไปเที่ยวโซนคิวชู ส่วนทริปที่สามเราไปเที่ยวโอซาก้ากับโตเกียว ซึ่งทริปที่สามเป็นทริปที่เหนื่อยที่สุด ทำให้รู้เลยว่าไม่ควรเที่ยวข้ามภูมิภาคเลย เที่ยวเป็นโซนๆ ไปดีกว่า แม้ว่าในทริปที่ 3 เราจะได้แวะมาเที่ยวโตเกียวแล้วถึงสามวัน แต่ก็จะเน้นเที่ยวเล่นในโซนตัวเมืองมากกว่า ไม่ได้ออกไปนอกเมืองสักเท่าไหร่ ดังนั้นทริปนี้จึงเป็นทริปเก็บตกเมืองต่างๆ รอบๆ เมืองโตเกียวที่น่าสนใจนั่นเอง

ทริปนี้เป้าหมายหลักของเราก็คือต้องไปถ่ายรูปหน้าตรงกับ Mt.Fuji ให้ได้ และต้องเจอกันแบบหล่อๆ ด้วย เห็นแต่ฐาน หรืออยู่ในดงหมอกไม่เอาเด็ดขาด ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือไปวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่าเป็น Sunny Day นั่นเอง แต่เพราะเราจองตั๋วเครื่องบินกันข้ามปี ดังนั้นเมื่อเราไม่แน่ใจว่าวันไหนจะเป็นวันที่แดดจ้าฟ้าใส วิธีที่ดีที่สุดก็คือไปแบบ One Day Trip ไม่นอนค้างที่ Kawaguchiko เนื่องจากถ้าซวยไปจองที่พักแล้วนอนเอาวันที่ฝนตกก็อดเห็นกันพอดี

Concept ของทริปนี้ก็เลยมาลงตัวว่าพักที่เดียวยาวเลยโดยใช้ย่าน Shinjuku เป็นฐานทัพ แล้วเน้นเที่ยวแบบ One Day Trip เอาจะได้ปรับเปลี่ยนทริปประจำวันได้ตามสภาพอากาศที่พบเจอเป็นหลัก เพื่อการันตีว่าสองที่ซึ่งเราจะไปคือ Kawaguchiko กับ Hakone นั้นจะเป็นวันที่แดดจ้าฟ้าใส และอากาศดีที่สุดเท่านั้น

 

 

สรุปข้อมูลการเดินทาง :

แน่นอนว่าฐานะอย่างเราต้องจองตั๋วโปรเท่านั้น ทริปนี้ก็ตามปกติเหมือนทุกทีก็คือจองตั๋วข้ามปี ดังนั้นจึงไม่มีความแน่นอนว่าช่วงที่เราเลือกที่จะไปนั้นจะได้เจอกับใบไม้แดงแค่ไหน สถานที่ซึ่งเราเลือกที่จะไปนั้นใบไม้จะเปลี่ยนสีหรือยัง หรือว่าร่วงไปแล้ว อันนี้ก็ต้องพึ่งบุญกุศลที่ทำมา และเลือกช่วงที่มีความน่าจะเป็น และที่สำคัญคือต้องเป็นช่วงที่คุณภรรยาลางานได้เท่านั้น

สรุปก็เลยมาลงตัวว่าจะไปกันช่วงวันที่ 19 พย. 2017 แล้วกลับวันที่ 26 พย. 2017 ก็แล้วกัน เพราะอาจจะโชคดีได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kawaguchiko สักหน่อย เพราะที่นี่จะเปลี่ยนสีไวกว่าส่วนอื่นๆ ของโตเกียว ตามสถิติก็คือช่วงต้นเดือน พย. และเข้าสู่ช่วงร่วงราวๆ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พย. ดังนั้นการไปช่วงวันที่ 19 – 26 พย. ก็มีลุ้นได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kawaguchiko อยู่บ้างไม่มากก็น้อยแหละน่า

ส่วนจุดอื่นๆ ของโตเกียวก็น่าจะพอมีให้เห็นอยู่บ้าง เพราะตามสถิติแล้ว ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในโตเกียวก็จะอยู่ราวๆ สัปดาห์ที่ 3-4 ของเดือน พย. เร็วช้ากว่านี้ก็อยู่ที่สภาพอากาศว่าจะเย็นเร็วหรือช้านั่นเอง ในที่สุดเราก็จองตั๋วตามนี้ อาจจะไม่ใช่ตั๋วที่ถูกที่สุด แต่ก็ถือว่าได้ตั๋วมาในราคาที่เหมาะสม และลงตัวกับตารางชีวิตของเราทั้งคู่ แค่นี้ก็โอเคแล้ว

 

สรุปตารางการเดินทาง :

 

วันที่ 19/11/2017 : ออกจากเชียงใหม่ช่วงเช้า เวลา 6:50 น. ถึงสนามบินดอนเมืองตอน 8:05 น. แล้วบินต่อไปถึงสนามบินนาริตะเวลา 19:00น.

Flight 1 : CNX – DMK : Thai lion Air SL525 เวลา 6:50 am. – 8:05 am.

Flight 2 : DMK – NRT : Air Asia XJ606 เวลา 10:45 am. – 7:00 pm.

 

วันที่ 26/11/2017 : เดินทางกลับจากสนามบินนาริตะ เวลา 9:15 น. ถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 2:05 น. หาอะไรทานแล้วรอขึ้นเครื่องกลับ ถึงสนามบินเชียงใหม่ 6:05 น.

Flight 3 : NRT – DMK: Air Asia XJ601 เวลา 09:15 am. – 2:05 pm.

Flight 4 : DMK – CNX : Air Asia FD3439 เวลา 04:55 pm. – 6:05 pm.

 

ค่าตั๋วเครื่องบิน :

CNX – DMK & DMK – CNX = 1,700 บาท/คน/Round Trip

DMK – NRT & NRT – DMK = 8,500 บาท/คน/Round Trip

 

รวมค่าเดินทาง = (1700+8500) x 2 = 20,400 บาท สำหรับสองคน

 

 

ที่พักสำหรับทริปนี้ :

จากประสบการณ์ทั้งสามทริปที่ผ่านมา สรุปได้ว่าสิ่งที่ยุ่งยากและเสียเวลาที่สุดนั่นก็คือการย้ายที่พัก เพราะต้องกลับมาเช็คเอาท์ แล้วขนกระเป๋าไปเช็คอิน ไหนจะต้องเสียเวลาหอบกระเป๋าลากไปโรงแรมใหม่ ขึ้นรถไฟ ลงรถไฟ ลากไปลากมา ไม่รวมเวลาหลง หรือเจอฝนตกสารพัดปัญหา

จึงมาสู่บทสรุปแบบฟันธงที่ว่า  พักมันที่เดียวทุกวันนะแหละ ไม่ต้องย้ายของ แถมถ้าพัก Airbnb บางที่หากพักครบ 7 วันมีลดราคาด้วย 10-15% ส่วนวันสุดท้ายขึ้นเครื่องบินเช้า ไม่อยากเสี่ยงเกินไป ก็ไปพักแถวๆ เมืองนาริตะเอา ตอนเช้าก็ขึ้นรถบัสรับส่งสนามบิน ซึ่งหลายๆ โรงแรมจะมีบริการฟรี ไม่ต้องลุ้น แค่ตื่นให้ทันไปขึ้นรถบัสเขาก็พอ

หลังจากค้นหาที่พักมานาน ก็มาลงตัวที่ AIRBNB กับบ้านหลังนี้ครับ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟชินจุกุมาหนึ่งสถานี คือสถานี Okubo เดินจากสถานีรถไฟไปประมาณ 400 เมตรก็ถึงละ ที่สำคัญอยู่ติดกับซุปเปอร์มาเก็ต เพราะจากประสบการณ์ในทริปที่สามซุปเปอร์ที่ญี่ปุ่นช่วงกลางคืนจะลดราคาสินค้าพวกอาหาร เนื้อ ผลไม้เยอะมาก  เราสามารถซื้อพวกอาหารกล่องลดราคาเอามาอุ่นกินตอนเช้าก็ได้  รวมถึงเนื้อก็ลดราคาบางทีลด 50% ก็มี  ซื้อกลับมาทำกินที่ห้องได้สบายๆ ราคาไม่โหดร้ายเหมือนกินที่ร้านด้วย  และเพราะเหตุผลนี้จึงเตรียมน้ำจิ้มไปญี่ปุ่นด้วย ครบเลยสุกี้, จิ้มแจ่ว, สามรส  พร้อมรบ มาเลยทุกเนื้อ ทุกอาหารทะเล และส่วนใหญ่ลิ้นจระเข้อย่างเรา อาหารกล่องในซุปเปอร์ก็อร่อยโอเคอยู่แล้วสำหรับซื้อทานในมื้อเช้า ดีกว่าไปหาซื้อข้าวกล่องหน้าสถานีรถไฟอีก จะได้ไม่ต้องรีบและเสียเวลาเรื่องมื้อเช้ามากนักด้วย เพราะทริปนี้ตามตารางแล้วเราออกเช้ากันทุกวัน การต้องมาเสียเวลาซื้ออาหารมื้อเช้าเป็นเรื่องเสียเวลามาก เตรียมล่วงหน้าไว้หนึ่งคืนเลยสบายใจที่สุด

 

สรุปที่พักที่เลือกสำหรับทริปนี้ :

Date : Check in 19/11/2017 – Check out 26/11/2017 (7 Nights)

Airbnb : Excellia Shinjuku Apartment

  • ไม่ไกลจากชินจุกุ ห่างออกมาหนึ่งสถานีรถไฟ Okubo Station ที่พักเดินไม่ไกลจากสถานีมากนักประมาณ 400 เมตร
  • เป็นย่านที่คึกคัก ร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่นเพียบ ที่สำคัญมี Supermarket ที่ขายของสด และอาหารกล่องด้วย
  • ข้อเสียอาจจะมีบ้างที่ต้องจ่ายค่าตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางจากสถานี Okubo ไป สถานี Shinjuku แต่ก็ไม่ทุกวันแล้วแต่ว่าเราไปเที่ยวที่ไหน
  • สถานีนี้มีลิฟท์ ทำให้เวลาขนกระเป๋าขึ้นลงสถานีง่ายและสะดวกมาก อันนี้สำคัญนะครับ ทริปที่สามขาพังเพราะแบกกระเป๋าหนักๆ ขึ้นลงบันไดนี่แหละ
  • มีส่วนลดหากว่าพักเกิน 7 วัน สอบถามติดต่อ Host แล้วพูดภาษาอังกฤษพอได้ ทำให้เวลาติดต่อสอบถามข้อมูลก็ตอบกลับมาเร็ว แนะนำว่าก่อนจองที่พักควรลองส่งข้อความไปถามก่อน หากถามแล้วเจ้าของที่พักเงียบไปเป็นวันสองวันก็อย่าเสี่ยง และต้องเน้นดูรีวิวของคนที่มาพักก่อนหน้าว่ากระแสเป็นอย่างไรบ้าง ที่พักใหม่ๆ ไม่มีรีวิว หรือมีรีวิวน้อยค่อนข้างมีความเสี่ยง และตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ทางญี่ปุ่นออกกฏที่เพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีกพอสมควรสำหรับคนที่จะเปิดที่พักแบบ AirBNB ดังนั้นควรตรวจเช็คให้ดีก่อนตัดสินใจจองและจ่ายค่าที่พัก
  • ที่พักเป็น Apartment ที่ดูสะอาดปลอดภัยใกล้แหล่งชุมชน ห้องที่พักอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลง ใครจะพัก AirBNB ถามเรื่องนี้ดีๆ เพราะบาง Apartment ก็ไม่มีลิฟท์นะครับ ต้องแบกกระเป๋าเดินทางหนักๆ ขึ้นลงบันไดนี่ไม่สนุกเลยบอกตรงๆ
  • ลักษณะห้องพักก็แนวห้องในคอนโดทั่วไป เปิดประตูเข้าไปด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ ด้านขวาเป็นครัว ส่วนห้องนอนมีประตูปิดกั้นไว้ตามที่เห็นจากภาพด้านล่าง ทำอาหารกลิ่นไม่เข้าห้อง สบายเลย
  • ภาพประกอบถ่ายโดยเจ้าของห้อง AirBNB ตอนไปถึงไม่ได้ถ่ายครับ มัวแต่หิว โยนกระเป๋าเข้าห้องก็เดินออกไปหาอะไรกิน
  • Price : 16,110 บาท ประมาณ 2,300 บาทต่อคืน  ทาง Airbnb จะคำนวนค่าที่พักให้โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่เราจองที่พักเป็นหลัก และตัดบัตรเลย

 

Date : Check in 26/11/2017 – Check out 27/11/2017 (1 Night)

APA Hotel Keiseinarita-Ekimae

  • เนื่องจากวันที่ 27 พย. เราต้องบินกลับไฟลท์เช้า ก็เลยไม่อยากเสี่ยงที่จะพักในชินจุกุแล้วขึ้นรถไฟรอบเช้า เพราะถ้าพลาดอะไรขึ้นมาก็ถึงขั้นตกเครื่องเลยเสื่ยงเกินไป
  • ค่าที่พักแถวๆ นาริตะจะถูกกว่าในโตเกียวพอสมควร ดังนั้นนอกจากจะประหยัดค่าที่พักแล้ว ก็จะปลอดภัยว่าไม่ตกเครื่องแน่ๆ วันสุดท้ายควรจะชิลๆ ไม่ใช่ลุ้นจนเหงื่อหยดว่าจะไปทันหรือไม่ทัน เดิมพันสูงเกินไปหน่อย
  • โรงแรมที่นาริตะส่วนใหญ่จะมีรถบัสรับส่งระหว่างโรงแรมกับสนามบิน ติดต่อแจ้งข้อมูลไว้เลยตั้งแต่ตอนจองว่าต้องการใช้บัสรับส่งสนามบิน
  • ใกล้สถานีรถไฟ ไม่ต้องลากกระเป๋านานๆ ถ้าไม่เดินหลงเอาเองนะ
  • โรงแรมในเครือ APA ใครเคยมาพักก็จะทราบดีว่าห้องเล็กมากๆ แต่ข้อดีคือสะอาด และห้องน้ำดีมีที่อุ่นตรูดให้ด้วย ใครไปช่วงที่อากาศเย็นๆ มันสำคัญมากเลยนะฟังค์ชั่นนี้
  • มีอ่างน้ำแร่ให้แช่ในโรงแรมด้วย ใช้บริการได้ฟรี
  • ภาพประกอบโรงแรมด้านล่างจาก App Traveloka
  • Price : 1,800 บาท จองผ่าน App Traveloka เพราะมีโปรลดราคา 15%

 

  รวมค่าที่พัก 8 คืน = 16,110 + 1,800 = 17,910 บาท

 

 

ค่าตั๋วเดินทางระหว่างทริปในญี่ปุ่น

เชื่อว่าหลายๆ คนเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าต้องซื้อตั๋วแบบไหนถึงจะดีที่สุด ควรซื้อตั๋ว JR Pass มั้ย หรือหาตั๋วแบบแยกตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เราอยากไปดี ทริปนี้หลังจากศึกษาข้อมูลและวางทริปไปคร่าวๆ แล้ว  ก็พบว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวในจุดที่ JR Pass รวมอยู่มากนัก  ดังนั้นการซื้อตั๋ว JR Pass ย่อมไม่คุ้มแน่นอน จึงมาสู่บทสรุปว่าหาซื้อตั๋วแยกเป็นทริปๆ ไปดีกว่า เราจะได้ไปเที่ยวในที่ซึ่งเราอยากไป มากกว่าไล่เที่ยวตามตั๋วให้คุ้มค่าตั๋วทั้งๆ ที่เราไม่อยากไปเที่ยวที่นั่นสักเท่าไหร่เลย

และนี่คือตั๋วที่เราซื้อสำหรับเดินทางในทริปนี้ครับ

 

1.ตั๋วไปกลับสนามบิน : N’Ex Tokyo Round Trip (พักย่านชินจุกุ ขึ้นแบบนี้ดีที่สุดแล้ว รวดเร็วไม่ต้องต่อรถ ไม่ต้องลากกระเป๋าไปๆ มาๆ)

  • Price :  4,000 เยน ซื้อที่ JR EAST Travel Service Centers ในสนามบินเคาเตอร์สีแดงๆ ตั๋วขาไปเขาจะล็อควันตามที่เราจะเดินทาง ส่วนตั๋วขากลับจะไม่ลงวันที่ไว้ เราเลือกใช้กลับวันไหนก็ได้ภายใน 14 วัน และสามารถเลือกขึ้นได้ทุกสถานีไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟโตเกียว, ชินจุกุ หรือแม้กระทั่งโยโกฮาม่า
  •  ข้อมูลจุดที่ขายตั๋วและรายละเอียดต่างๆ : https://travelruarua.com/2017/02/05/narita_express_tokyo/

 

2.ตั๋วเที่ยวโซนในเมืองและนอกเมืองโตเกียวแบบรายเที่ยว : Suica Card บัตรซุยกะ

  • Price : มีค่ามัดจำบัตร 500 เยน และสามารถเลือกเติมได้ตามความต้องการ 1,000/2,000/3,000/4,000/5,000/10,000 เยน  ทริปนี้เราเติมเงินไป 10,000 เยน รวมค่ามัดจำบัตรไปเลย  ซื้อที่ JR EAST Travel Service Center (Narita) ที่เดียวกับตั๋วด้านบน บัตรนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินได้ ไม่ต้องมาหยอดเงินหน้าตู้ให้เสียเวลา และมีส่วนลดค่าตั๋วรถไฟด้วยนิดหน่อย แล้วก็สามารถใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อทั่วไปได้ด้วยสะดวกมากๆ
  • ข้อมูลจุดที่ขายตั๋วและรายละเอียดต่างๆ ซื้อที่เดียวกันกับตั๋ว Narita Express ในข้อ 1 ได้เลย : https://www.talonjapan.com/suica-card/

 

3.ตั๋ว Hakone Free Pass

 

4.ตั๋วเดินทางด้วย Subway ในโตเกียวว Tokyo Subway Ticket 24 ชม.

  • เป็นตั๋วสำหรับใช้เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในโตเกียว ซึ่งถ้าเราจะเที่ยวในโซนตัวเมืองโตเกียว นี่คือบัตรเทพที่จะทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากมายมหาศาล ซื้อได้ที่สนามบินนาริตะเลยครับ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเดินหาซื้อที่อื่นหลายๆ รอบ  ตั๋วจะเริ่มนับเวลาจากที่เราใช้งาน แล้วนับไป 24 ชม. นับจากวินาทีที่เราเสียบตั๋วเข้า Gate
  • จุดจำหน่ายตั๋ว และข้อมูลต่างๆ : https://www.tokyometro.jp/lang_th/ticket/value/travel/index.html
  • Price : 800 เยน, 48 ชม. 1,200 เยน, 72 ชม. 1500 เยน ซื้อที่ Keisei Counters ใช้ตั๋ว 72 hr. ใบเดียวพอ

 

5.ตั๋วรถบัสจากชินจุกุ ไปคาวากุจิโกะ ซื้อผ่านเวปได้เลย จองล่วงหน้า 30 วัน

  • เป็นตั๋วสำหรับเดินทางจากโตเกียวไป Kawaguchiko แบบนั่งยาวๆ ทีเดียวถึง ไม่ต้องลงมาเปลี่ยนสถานีให้วุ่นวาย หลับกันไปยาวๆ ควรซื้อล่วงหน้า สำหรับทริปนี้ผมรอดูพยากรณ์อากาศจนถึงวันที่ 18 พย. คือก่อนเดินทางหนึ่งวัน เช็คจนแน่ใจแล้วว่าวันนั้นแดดจ้าฟ้าใสแน่ๆ แล้วก็ทำการซื้อ Online เลย แต่ถ้าใครไปช่วงพีคๆ ก็ต้องเสี่ยงหน่อยว่าเที่ยวเช้าๆ อาจจะหมดก่อน ก็ต้องขึ้นช่วงสายๆ ซึ่งจะทำให้ถึงช้า และได้เที่ยวไม่เต็มที่  ดังนั้นควรเลือกรถที่ออกเที่ยวแรก ไปถึงแต่เช้า จะได้มีเวลานั่งทานข้าวเช้าฟินๆ แล้วค่อยนั่งรถบัสเที่ยวอีกที  ส่วนตั๋วรถบัสที่จะใช้เที่ยวใน Kawaguchiko ค่อยไปซื้อที่สถานี Kawaguchiko อีกทีครับ
  • Online Ticket : http://highway-buses.jp/thai/course/kawaguchiko.php
  • ข้อมูลการจองตั๋ว : https://www.japankakkoii.com/japan-travel/shinjuku-kawaguchiko-highway-bus-2017/
  • Price : 1,750 เยน/เที่ยว = 3,500 เยน  เที่ยวแรก 6:05 am, เที่ยวที่สอง 7:15 am ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ซื้อ Online จากไทยไปได้เลย สามารถเอาตั๋ว E-Ticket โชว์ให้คนขับดูได้เลย หรือถ้าอยากให้ชัวร์ก็ Print เป็นกระดาษออกมาเผื่อไว้ก็ได้

 

6.ตั๋ว Retro R Coupon (retro bus + กระเช้าภูเขาคะจิคะจิ + ล่องเรือทะเลสาบ) 

  • ตั๋วสำหรับนั่งรถ Retro Bus เพื่อท่องเที่ยวในโซนทะเลสาป Kawaguchiko ซึ่งบัตรนี้จะรวมตั๋วขึ้นกระเช้าขึ้นไปจุดชมวิวด้านบน และรวมค่าตั๋วเรือล่องทะเลสาปด้วย  มาทั้งทีต้องจัดให้ครบไปครับ จะได้ไม่ติดค้างใจ ซึ่งถ้าวันที่ไปแดดจ้าฟ้าใสทั้งวันจริงๆ ก็ควรซื้อแบบนี้ไปเลย แต่ถ้าฟ้ามืดมัวหม่นก็อาจจะซื้อแค่ตั๋วรถ Retro Bus เพื่อนั่งไปตามจุดต่างๆ ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งจะถูกกว่า ราคา 1,200 เยน แต่ถ้าจัดหนักจัดเต็มก็จ่ายค่าตั๋วเหมาไปเลย 2,600 เยนครับ
  • ข้อมูลเกี่ยวกับรถ Retro Bus รวมถึงแผนที่และ Time Table : http://bus-th.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/
  • ข้อมูลเกี่ยวกับตั๋ว Retro R Coupon : https://www.mtfujiropeway.jp/en/guide/

 

7.ตั๋วขึ้น Mt.Takao สำหรับนั่งเคเบิ้ลคาร์ หรือรถกระเช้าเก้าอี้ขึ้นลงภูเขา Takao

  • เนื่องจากเราเดินทางไป Mt.Takao หลังจากไปเที่ยวที่ Mt.Mitake ทำให้ไม่ได้ซื้อตั๋วเหมาเที่ยว Mt.Takao แบบที่มีขายทั่วไปที่ออกจากชินจุกุได้ ก็เลยต้องซื้อตั๋วนี้แยกหลังจากไปถึงที่ Mt.Takao แล้ว
  • Price: 930 เยนสำหรับตั๋วไปกลับต่อคน

สรุปค่าตั๋วเดินทางที่จะต้องซื้อสำหรับทริปญี่ปุ่น

Total Cost = 4000+10000+5140+1500+3500+2600+930 = 27,670 เยน / คน หรือประมาณ 8,000 บาทต่อคน หรือ 16,000 บาทสำหรับสองคน

 

 

สรุปรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าที่พัก, ค่าตั๋วรถ = 20,400 + 17,910 + 16,000 = 54,310 สำหรับสองคน หรือตกคนละ 27,155 บาท

คำนวนที่ค่าเงินเยนตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 0.29 เงินเยนเท่าไหร่ ก็คูณเข้าไป ก็จะออกมาเป็นเงินบาท ง่ายๆ เลย จากนั้นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นค่าอาหาร และ Shopping นั่นเอง มากน้อยแค่ไหนอันนี้ค่อยว่ากันอีกที

 

 

การเตรียมตัวเดินทาง

เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปที่สี่แล้ว ดังนั้นก็จะค่อนข้างจะพอรู้เบื้องต้นพอสมควรแล้วว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง การเตรียมตัวก็ไม่มีอะไรมาก  สิ่งที่สำคัญหลักๆ ก็มีดังนี้

 

1. SIM : จากสามทริปที่ผ่านมาเราใช้ Pocket WiFi เป็นหลักเพราะถูกดี แต่ปัญหาหนึ่งคือเราไม่สามารถแยกกันได้เลย ต้องตัวติดกันตลอดเวลา เพราะถ้าใครแยกไปห่างจาก Pocket WiFi ก็จะติดต่อกันไม่ได้เลยเพราะไม่มีเน็ต ดังนั้นถ้าคนหนึ่งจะไปช็อป คนหนึ่งจะไปถ่ายรูปก็เป็นเรื่องยากละ ทางเลือกที่ดีกว่าก็คือซื้อซิมดีกว่า แยกกันใส่แต่ละเครื่องไปเลย จะได้ติดต่อกันง่าย และไม่มีปัญหาเรื่องไม่มีเน็ตใช้ ทริปนี้ก็แน่นอนว่าต้องใช้ AIS Sim to Fly นั่นเอง ซื้อและลงทะเบียนที่ไทยได้เลย โดย Package จะเริ่มต้นนับตอนที่เราเชื่อมสัญญาณกับเครือข่ายของต่างประเทศ และถ้าเน็ตหมดก็สามารถเติม Online ได้สบายๆ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะที่สุดสำหรับทริปนี้เลย

 

2.อุปกรณ์ถ่ายภาพ : ทริปนี้แบกไปเต็มที่ครับ อุปกรณ์ที่แบกไปทั้งหมดก็มีดังนี้ครับ

  • Canon 5D MKIII + Flash Canon 600 EX RT
  • Canon EF 35 F1.4L, Canon EF 135 F2L
  • Sigma 20 F1.4 Art, 85 F1.4 Art
  • Gopro 6 + ไม้เซลฟี่
  • ขาตั้งกล้อง
  • Memory Card แบบจัดเต็ม
  • สายคล้องกล้อง Peak Design ซึ่งดีมาก สะพายกล้องทั้งทริปไม่ปวดไหล่มากเหมือนสามทริปที่ผ่านมา สายดีๆ ช่วยได้เยอะมากจริงๆ
  • Powerbank 20,000 mAh สองอันพกกันคนละเครื่องไปเลย
  • สายชาร์ตต่างๆ และปลั๊กพ่วง เตรียมให้พร้อมห้ามลืมเด็ดขาด ไม่งั้นจบแน่นอน

 

3.เสื้อผ้า : อันนี้ง่ายมาก เตรียมไปไม่เยอะ เพราะกะไปซื้อเอาที่นู้น สั่งซื้อเสื้อ Uniqlo HEATTECH Extra Warm ทั้งเสื้อและกางเกงอย่างละตัว แล้วก็เสื้อผ้าไปนิดๆ หน่อยๆ แค่ใส่วันสองวันแรกเท่านั้น ที่เหลือกะไปช็อปที่นู้นอย่างเดียว ที่สำคัญมีเครื่องสูบสูญญากาศมาช่วย ยิ่งทำให้เสื้อผ้าในกระเป๋าโล่งขึ้นมาก มีพื้นที่เหลือใส่ของอย่างมากมายมหาศาล 

 

 

4. น้ำจิ้มต่างๆ : เนื่องจากทริปนี้เลือกที่พักใกล้ Supermarket และเลือกที่พักที่มีครัวไว้ทำอาหาร ดังนั้นต้องมีการซื้อเนื้อมาย่างกินเองแน่ๆ ดังนั้นที่ลืมไม่ได้เลยก็คือน้ำจิ้มครับ เตรียมไว้พร้อมเลยทั้งน้ำจิ้มสุกี้, น้ำจิ้มแจ่ว, น้ำจิ้มสามรส  แพ็คไปอย่างดีใส่ถุง Ziplock เพื่อความปลอดภัย

 

 

5. การเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังจุดต่างๆ : อันนี้เพื่อความรวดเร็วและมั่นใจว่าจะไม่หลง ก็ควรจะเช็คให้ดีนะครับ ว่าเวลาเราจะออกไปยังจุดต่างๆ เนี่ย จากสถานีชินจุกุมันมีประตูออกเยอะแยะมาก เราต้องออกประตูไหน ไปทางไหน อะไรยังไง  หรือเวลาออกจากสถานี Okubo ต้องออกทาง Gate ไหน ที่พักเราอยู่ตรงไหน ลองเดินด้วย Google Street เลยจะได้คุ้นตาเวลาไปถึง ไม่ต้องงมๆ เปิดหาแผนที่ให้เสียเวลา  ตรงนี้ช่วยได้มากครับ  สำหรับคนที่พัก Airbnb ทางเจ้าของที่พักจะส่งรายละเอียดการเดินทางไปยังที่พักมาให้เราหลังจากทำการจอง และจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย เราถึงจะได้รู้ว่าที่พักมันอยู่ตรงไหนแน่ พอรู้แล้วก็เช็คด้วย Google Street เลยครับ  มีอะไรสงสัยก็สอบถามให้มั่นใจเรียบร้อยก่อนเดินทาง จะได้ไม่มีปัญหาเผื่อว่าบางเคสไปถึงดึก เจ้าของห้องหลับไปแล้วติดต่อไม่ได้จะซวยเอา

ปล. เงาในภาพไม่ใช่ผี แต่เป็นคนหน้าตาดีถ่ายรูปประตูหน้าทางเข้าที่พัก

 

 

Summary of Autumn Tokyo Trip 2018

 

และนี่คือทริปในแต่ละวันของเราครับ กว่าจะได้มาคิดแล้วคิดอีกจนแทบสมองแตก ซึ่งก็ถือว่าลงตัวที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้

 

Day 1 (19/11/2017) : From Chiang Mai To Shinjuku

 

Day 2 (20/11/2017) : Mt.Mitake & Mt.Takao

 

Day 3 (21/11/2017) : Kawaguchiko

 

Day 4 (22/11/2017) : Autumn around Tokyo, Koishikawa Korakuen, Showa Memorial Park

 

Day 5 (23/11/2017) : Tsukiji Fish Market, Tokyo University, Tokyo Tower

 

Day 6 (24/11/2017) : Kamakura & Shopping

 

Day 7 (25/11/2017) : Hakone

 

Day 8 (26/11/2017) : Yokohama & Narita

 

Day 9 (27/11/2017) : From Narita to Chiang Mai

 

 

โพสหน้าเรามาเริ่มเที่ยวกันเถอะพี่น้องชาวไทย !!!!

 

Previous Story

Phu lom Lo : The pinky mountain

Next Story

Autumn in Tokyo 2017 : Day 1 – From Chiang Mai to Shinjuku